“ศาลฎีกา” พิพากษายืนโทษประหาร “บรรยิน” คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา

"ศาลฎีกา" พิพากษายืนโทษประหาร "บรรยิน" คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา

Top news รายงาน วันนี้ (12 ก.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา หมายเลขดำที่ อท 69/2563 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อท 190/2563 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 และโจทก์ ร่วมเป็นโจทก์ฟ้อง นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต สส.นครสวรรค์ หลายสมัย กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ฯ

สืบเนื่องจากกรณีที่จำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายเอาตัวผู้ตาย ซึ่งเป็นพี่ชายของผู้พิพากษาหญิงคนหนึ่งของศาลอาญากรุงเทพใต้ ไปกักขังหน่วงเหนี่ยว และใช้ความปลอดภัยในชีวิตของผู้ตายเป็นข้อต่อรองเรียกค่าไถ่ เพื่อข่มขืนใจผู้เสียหาย คือ ผู้พิพากษาหญิง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่

โดยวันนี้ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาถ่ายทอดภาพและเสียง ผ่านทางจอภาพระหว่างศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กับเรือนจำกลางบางขวาง และเรือนจำกลางคลองเปรม สถานที่คุมขัง นายบรรยิน กับพวก ซึ่งวันนี้ โจทก์ และโจทก์ร่วม รวมถึงทนายจำเลยที่ 4-6 ได้มาศาล ส่วนจำเลยที่ 1 คือ นายบรรยิน ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ส่วนจำเลยที่ 3 -6 ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือ โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 รับในฎีกาว่า ไม่พอใจโจทก์ร่วมอย่างรุนแรง โดยเชื่อว่า โจทก์ร่วมไม่เป็นกลางในการพิจารณาคดีฉ้อโกงหุ้น นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศ จึงทึกทัก คือ เหมาเอาเป็นจริงเป็นจังว่า ถูกโจทก์ร่วมกลั่นแกล้ง จำเลยที่ 1 จึงได้ตัดสินใจกระทำการแก้แค้นโจทก์ร่วม แต่เปลี่ยนใจไปลักพาตัวผู้ตายไปแทน แล้ววางแผนให้จำเลยที่ 2 – 3 สะกดรอยติดตามโจทก์ร่วม กับผู้ตาย จนทราบที่พัก โดยประสงค์จะลักพาตัวผู้ตายไป เพื่อต่อรองให้โจทก์ร่วมพิพากษาคดีดังกล่าวให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้การที่จำเลยที่ 1 คิดวางแผน และไตร่ตรอง เพื่อลักพาตัวผู้ตายไปแล้ว จึงลงมือกระทำความผิดตามแผน โดยมิใช่กระทำไปโดยปัจจุบันทันด่วน บ่งชี้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 289 (4)

ส่วนจำเลยที่ 4 – 6 ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 บอกจำเลยที่ 6 ให้ส่งจำเลยที่ 4 – 5 ลูกน้องของจำเลยที่ 6 ไปช่วยงานทวงหนี้ หลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 6 มอบเงินค่าตอบแทนการทำงานให้จำเลยที่ 4-5 คนละ 50,000 บาท และนำเสื้อผ้าที่จำเลยที่ 4-5 สวมใส่ในวันเกิดเหตุไปเผาทำลายหลักฐาน

พฤติการณ์เหล่านี้ของจำเลยทั้ง 6 คน ย่อมเป็นอันรู้กันในกลุ่มจำเลยทั้ง 6 เป็นอย่างดีว่า การไปทวงหนี้มีความหมายถึงการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายแก่บุคคลอื่น ตั้งแต่การบังกับข่มขู่ อุ้มหายไปจนถึงการฆ่าเผานั่งยาง เพื่อทำลายพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 (13) บัญญัติว่า “ค่าไถ่” หมายความว่าทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่เรียกเอา หรือเพื่อให้แลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง ฉะนั้นค่าไถ่จึงมิได้หมายความแต่เพียงว่าต้องเป็นทรัพย์สิน หรือเป็นเงินที่เรียกเอาเพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป แต่หมายความรวมถึงประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือเงินซึ่งผู้กระทำต้องการเรียกเอา เมื่อจำเลยที่ 1 ลักพาตัวผู้ตายไปเจรจาต่อรอง เพื่อให้โจทก์ร่วมพิพากษายกฟ้องและให้คืนเงินกับหุ้นของจำเลยที่ 1 ผลของคำพิพากษาที่ยกพ้อง และให้คืนเงินกับหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่ถูกอายัดไว้ จึงถือว่าเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่จำเลยที่ 1 เรียกเอาจากโจทก์ร่วม เพื่อแลกตัวผู้ตาย และเป็นประโยชน์ซึ่งมีอยู่ในขณะกระทำการเรียกเอา โดยจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องได้ไปซึ่งประโยชน์ หรือแม้แต่โจทก์ร่วมจะไม่สามารถ หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ประโยชน์นี้ได้ก็อยู่ในความหมายของคำว่า “ค่าไถ่” ตามกฎหมายดังว่าแล้ว

ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 4-6 รับรู้ความประสงค์ของจำเลยที่ 1 และที่ 6 มอบหมายให้จำเลยที่ 4-5 ไปช่วยกันลักพาผู้ตาย โดยใช้รถยนต์คันก่อเหตุ จำเลยที่ 4 – 6 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า แม้จะสวมกุญแจมือผู้ตายไขว้หลัง ใช้เทปกาวปิดปาก ใช้ถุงดำคลุมศีรษะแล้วผู้ตายต้องดิ้นรนต่อสู้ขัดขืน เมื่อจำเลยที่ 3 ทำร้ายผู้ตายชกบริเวณท้อง ลิ้นปี่ และชายโครง ของผู้ตายหลายครั้ง หรือแม้เพียงครั้งเดียว จนผู้ตายนิ่งไป ซึ่งแสดงว่า จำเลยที่ 3 ชกผู้ตายบริเวณท้อง ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญโดยแรง ขณะผู้ตายถูกจำเลยที่ 5 ใช้เทปกาวปิดปากและนำถุงผ้าคลุมศีรษะ ทำให้อยู่ในสภาพที่หายใจไม่สะดวก

ข่าวที่น่าสนใจ

ดังนี้ พฤติการณ์เยี่ยงจำเลยที่ 4 – 6 ย่อมคาดหมายได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้ อุปกรณ์ที่จำเลยที่ 1 เตรียมไปในการลักพาตัว เช่น กุญแจมือ ถุงผ้าเพื่อใช้คลุมศีรษะส่อแสดงว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 – 6 รู้อยู่แล้วว่า ผู้ตายจะต้องขัดขืน ไม่ให้การนำตัวไปโดยง่าย เมื่อผู้ตายขัดขืนใช้กำลังบังคับ หรือประทุษร้ายผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาตัวผู้ตายไป และแม้ชกเพียงครั้งเดียว อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้

เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 และจำที่ 3 ก็นำร่างผู้ตายไปเผาในสถานที่ที่เตรียมไว้ สมดังเจตนาของจำเลยที่ 1 การตายของผู้ตายจึงเกิดจากการถูกจำเลยที่ 3 ชกที่ท้องอย่างรุนแรง มีผลถึงตาย อันเป็นผลธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้ายด้วยเจตนาฆ่า และเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และจำที่ 3

ด้วยเหตุนี้จำเลยที่ 1 และจำที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) และจำเลยที่ 1 กับ จำเลยที่ 3 – 5 มีความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดฐาน เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขัง ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 และมาตรา 313 เมื่อความตายของผู้ตายเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการทำร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 63 ทำให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 – 5 ต้องรับโทษหนักขึ้น และจำเลยที่ 6 ย่อมมีความผิดและต้องรับโทษหนักขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 87 เช่นกัน ดังที่ศาลล่างทั้ง 2 พิพากษา และวางโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 – 6 มานั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วยในผล ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 4 – 6 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 3-5 ข้อนี้ฟังขึ้น ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ 2 – 5 และบังคับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จากที่แก้คงเป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ศาลสั่งจำคุกคดีถึงที่สุด โดยจำเลยที่ 2 จำคุก 33 ปี 4 เดือน, จำเลยที่ 3 – 6 จำคุกตลอดชีวิต และจำเลยที่ 1 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว)

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาลอาญาพระโขนง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ที่พิพากษายืนให้ประหารชีวิต นายบรรยิน ในความผิดฐานฆ่า นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง เพื่อนสนิทมาแล้ว รวมทั้งศาลอาญาสั่งจำคุก 20 ปี นายบรรยิน ฐานฟอกเงิน ที่ได้จากการโกงหุ้น นายชูวงษ์ ด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ครูบาอริยชาติ เกจิภาคเหนือวัดแสงแก้วโพธิญาณ เชียงราย สร้างพระพุทธเมตตา จากหยกรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า 10 ตัน
นายกฯ-สามี พา "น้องธิธาร" ลูกสาว วิ่งเล่นสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
กระทรวงดีอี – ดีป้า เปิดศึกบิน – ซ่อมโดรนเกษตรชิงแชมป์ประเทศไทย ในรายการ “Thailand Agriculture Drone Competition 2024”
รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ นำ จนท.ตรวจสารเสพติดทหารใหม่ 2,911 นาย เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา
รถบรรทุกปูนพลิกคว่ำขวางถนนรถติดยาวหลายกิโล
รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำภาคอีสาน คุมเข้มแผนบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งขับเคลื่อนมาตรการแก้ปัญหาภัยแล้ง
เลือกตั้งสหรัฐ: ทั้งสองพรรคมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้ง
แคปซูลส่งกลับ 'เสินโจว-18' ของจีนแตะพื้นโลกปลอดภัย
ผู้เสียหายรวมตัวแจ้งความ "หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง" เอาผิดฐานฉ้อโกง หลังหลอกให้สั่งซื้อวัตถุมงคลแพงลิ่ว
แวะปั๊มก่อนเลย พรุ่งนี้น้ำมันขึ้นราคา เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับทุกชนิด

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น