กรีซโล่งอก ไฟป่าใกล้กรุงเอเธนส์ดับลงแล้ว สรุปมีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บหลายสิบ ขณะงานวิจัยใหม่เผย ไฟป่าที่เกิดรุนแรงขึ้นทั่วโลก เป็นตัวการหลักของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล
ในวันอังคาร โฆษกหน่วยดับเพลิงของกรีซเปิดเผยว่า สามารถดับไฟป่าที่ลุกลามอย่างหนักที่เข้าใกล้กรุงเอเธนส์เมืองหลวงได้สำเร็จ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่ไฟป่าจะกลับมาปะทุขึ้นใหม่ จากลมแรงและอุณหภูมิที่พุ่งสูงถึง 30 องศาเซลเซียสในช่วงกลางวัน
ทั้งนี้เหตุการณ์ไฟป่า เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ ห่างจากกรุงเอเธนส์ ไปทางเหนือประมาณ 35 กิโลเมตร จากนั้นลุกลามอย่างหนัก ภายในวันจันทร์มีรายงานไฟป่า 40 จุด ทำให้ต้องระดมกำลังนักดับเพลิงมากกว่า 700 คน รถดับเพลิง 199 คัน เครื่องบินบรรทุกน้ำ 35 ลำ รวมถึงการขอกำลังเสริมจากสหภาพยุโรป เพื่อดับไฟ
เจ้าหน้าที่สรุป ไฟป่าครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นหญิงหนึ่งราย และมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน รวมถึงนักดับเพลิง ไฟไหม้ครอบคลุมพื้นที่ 1 แสน หรือกว่า 2 แสนห้าหมื่นไร่ เมืองวริลิสเซีย ที่อยุ่ห่างจากเอเธนส์ 14 กิโลเมตร อาคารและบ้านเรือน ถูกไฟไหม้หมดทั้งเมือง ในวันอังคาร กลุ่มควันขนาดใหญ่ที่ปกคลุมกรุงเอเธนส์ ได้จางหายไป แต่ท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยหมอกควัน ขณะที่ทางการกรีซกำลังประเมินความเสียหาย และเตรียมแผนการชดเชยสำหรับผู้อยู่อาศัยและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
อีกด้านหนึ่ง งานวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัย อีสต์ แองเกลีย ของอังกฤษ ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Earth System Science Data วันนี้เผยว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างมากมายและรุนแรงขึ้น เป็นตัวการหลัก ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากในปีที่แล้ว โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมามากถึง 8 พัน 6 ร้อยล้านตันทั่วโลก ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 ถึงกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 16 เปอร์เซ็นต์
โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากไฟป่าทางตอนเหนือของแคนาดา สูงกว่าค่าเฉลี่ยมากกว่า 9 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบหนึ่งในสี่ทั่วโลก ส่วนพื้นที่อื่นๆที่เกิดไฟป่าและสร้างผลกระทบได้แก่ ป่าอเมซอนที่ครอบคลุมประเทศ บราซิล โบลิเวีย เปรู เวเนซุเอลา รวมถึงไฟป่าที่ฮาวายและกรีซ
ผู้เขียนรายงานสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเกิดเพลิงไหม้มากขึ้น หากมนุษย์ยังคงผลิตก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก ไฟป่าครั้งใหญ่เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ก็มีแนวโน้มมากขึ้น