“จักรภพ เพ็ญแข” ท้าดีเบต “พรรคส้ม” หวังให้อาหารสมองประชาชน ดีกว่าก่นด่ากันไปวัน ๆ

"จักรภพ เพ็ญแข" ท้าดีเบต "พรรคส้ม" หวังให้อาหารสมองประชาชน ดีกว่าก่นด่ากันไปวัน ๆ

TOP News วัดใจ 2 ผู้นำจิตวิญญาณแห่ง”พรรคส้ม” ใจสู้ หรือ ใจปลาซิว จะกล้ารับคำท้าดีเบตของ “จักรภพ เพ็ญแข” อดีตแกนนำคนเสื้อแดง หรือไม่? ถึงขนาดท้าดวลกันแบบให้แต้มต่อ 2 รุม 1 เสียด้วยซ้ำ 2 ผู้นำจิตวิญญาณพรรคส้มที่ “จักรภพ เพ็ญแข” ท้าดีเบต นั้นคือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า “จักรภพ เพ็ญแข” ประกาศส่งเทียบเชิญด้วยการกล่าวว่า  ดีเบต! ดีใจที่การเมืองไทยมีคนดีเบตครบ 2 ข้างเสียที ยินดีจะเข้าร่วมในจังหวะดี ๆ เสมอ หวังช่วยผลักดันสาระในการเมืองไทยให้กระเถิบสูงขึ้นกว่าอารมณ์ให้มากที่สุด ส่วนผู้เล่นหลักที่หวังว่าจะให้เกียรติมาดีเบตกันสักครั้ง นั้นคือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล”เพียงแต่ดูให้ได้จังหวะและมีหัวข้อดี ๆ หน่อย ผมคิดว่า อาหารสมองคือสิ่งที่พี่น้องประชาชนของเราควรจะได้รับมากกว่าการก่นด่ากันไปวัน ๆ

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่ ชนวนเหตุท้าดีเบต ระหว่าง 2 ค่ายสีเสื้อ แดง ปะทะ ส้ม เริ่มที่ “จักรภพ เพ็ญแข” ออกมาแสดงความคิดเห็นพาดพิง “พรรคส้ม” เป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิวัติ  ส่วน “พรรคร่วมรัฐบาล” ปัจจุบันเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิรูป   ทำเอา “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า ของขึ้น!  ออกโรงมาโต้กลับเดือดว่า  คนหนึ่งที่เคยมีแนวความคิด “ถอนรากถอนโคน” จนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ  แต่ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ ได้กลับมามีตำแหน่งทางการเมือง  แต่กลับมาจัดประเภทคนนั้นเป็นพวกปฏิวัติ  คนนี้เป็นพวกปฏิรูป  แต่สิ่งที่ติดใจ คือ ทำไมความคิดในอดีตกับปัจจุบันถึงเปลี่ยนไป

ไม่เท่านั้นแกนนำด้อมส้มระดับหัวแถว  ดาหน้ากันออกมาจัดหนัก “จักรภพ เพ็ญแข”  อาทิ “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ฟาดแรงว่า เลือกตายไปเลยดีกว่ากลับมาแบบจักรภพ  หรือ “ธนาพล อิ๋วสกุล” บรรณาธิการฟ้าเดียวกัน แขวะว่า เอาตัวรอดคนเดียว แล้วถีบคนอื่นไปติดคุก  จากนั้นด้อมส้มระดับปลายแถวตามไปถล่มซ้ำ เป็นเหตุให้ “จักรภพ เพ็ญแข” อดรนทนไม่ไหวต้องประกาศท้าดีเบตกลางรายการทีวีช่องหนึ่ง  หวังจะให้อาหารสมองแก่พี่น้องประชาชน มากกว่าเน้น การก่นด่ากันไปวัน ๆ

“จักรภพ เพ็ญแข” ชี้แจงจุดยืนทางการเมือง สรุปความได้ว่า ไม่ได้ซูฮกอำนาจเก่า แต่เพราะบริบทสังคมไทยเปลี่ยนไป สถานการณ์ใหม่และข้อมูลใหม่  ตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่าน ได้คิดทบทวน และ การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วง 3 – 4 ปีหลังมีการปรับตัวของสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นคือ ต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าว ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ต้องรับฟังคนที่เห็นต่างด้วย

ขณะที่ การเขียนหรือการพูดที่เชือดเฉือนให้เจ็บใจ หรือ การมีแนวคิดสุดโต่งโดยไม่ยอมรับความคิดของอีกฝ่าย ไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” การสร้างความเกลียดชังเรื่องสีเสื้อควรหยุดได้แล้ว เพราะหากวันหนึ่ง สีเสื้อหนึ่งได้มีอำนาจขึ้นมา จะทำอย่างไรกับอีกสีเสื้อหนึ่ง ดั่งเช่น การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในอดีต หากฝ่ายเสื้อแดงมีอำนาจ จะทำอย่างไรกับฝ่ายเสื้อเหลือง ดังนั้นหากไม่ให้อภัยต่อกันจะทำให้การเมืองเดินหน้าต่อไม่ได้ ดั่งเช่นที่ “แกนนำพรรคส้ม” ขุ่นเคืองที่ระบุว่า พรรคก้าวไกลเดิม หรือ พรรคประชาชนเป็นพรรคปฏิวัติ  เพราะมีความคิดสุดโต่ง ซึ่งมีบทเรียนมาแล้วถึง 2 ครั้งจากการถูกยุบพรรค

เช่นเดียวกับประเด็นมาตรา 112 กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้  แต่ปัจจุบันการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และ มีการถอยกันอยู่ตลอดเวลา หรือ ยังจะเสพติดความขัดแย้งกันต่อไป  ดังนั้น 15 ปีที่ผ่านมาได้คิดทบทวน เพราะสิ่งใหญ่กว่าตัวเราได้เปลี่ยนไป  ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราต้องปรับตามได้หรือไม่  ยิ่งยุคปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้า ข้อมูลข่าวสารมากล้น แต่ใจเราจะยอมรับสถานการณ์ใหม่หรือข้อมูลใหม่ ๆ ได้หรือไม่

เช่นเดียวกับที่แกนนำพรรคส้มส้มออกมาปรามาสว่าเลือกตายไปเลยดีกว่ากลับมาแบบจักรภพ หรือ เอาตัวรอดคนเดียว แล้วถีบคนอื่นไปติดคุก  “จักรภพ เพ็ญแข” เห็นว่า หากพูดเช่นนั้น ด่วนสรุปไปหรือไม่ ไม่ได้หยุดมองเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และ อยากให้วุ่นวายต่อหรือไม่ ตนยอมให้กล่าวปรามาสต่อไป  แต่อย่าลืมว่าคนที่พูด เล่นไปตามบทของตัวเองที่เป็นบทเดิม ๆ คือ นักค้านหรือนักประท้วง จึงไม่กล้ายอมรับความจริง กลัวเสียสถานะหรือกลัวจะอธิบายสังคมไม่ได้ใช่หรือไม่ หากต้องปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

เช่นเดียวกับ ระบบอุปถัมภ์ หรือ ระบบคุณภาพ ต้องไปกันแบบคู่ขนาน นั้นคือ ของเก่ายังอยู่ ขณะที่ของใหม่ต้องทำให้ได้  นอกจากนี้ยังเห็นว่า การเมืองในประเทศต้องคู่ขนานกับการเมืองต่างประเทศ เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อ 15 ปีก่อน แต่วันนี้ รัฐไทยเล็กลง ทุกคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเพื่อเดินหน้าไปสู่การเป็นรัฐหนึ่งเดียว  ดังนั้นบ้านเมืองต้องถอยกันคนละก้าวของแต่ละฝ่าย  แต่มีบางประเด็น จะต้องมาคุยกัน ไม่ใช่แค่มาตรา 112 ยังต้องมีปัญหาอื่น ๆ ต้องกลับสร้างพื้นที่พูดคุยร่วมกันมากขึ้น  ต้องไม่เดินไปสู่สงคราม เพราะบ้านเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว อย่าไปหมกมุ่นเรื่องของตัวเองเพียงอย่างเดียว / ต้องแสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่เอาบ้านเมืองเป็นหลัก หรือ ไม่ฟังความเห็นต่างของอีกฝ่ายหนึ่งเถียงกันแบบชนิดไม่เผาผี

จับตา 2 ผู้นำจิตวิญญาณ “พรรคส้ม” กล้ารับคำท้า “จักรภพ เพ็ญแข” หรือไม่ กองเชียร์เสื้อแดง และ เสื้อส้ม เกาะขอบสังเวียนรอดูมวยคู่เดือด! จะกล้ารับคำท้าหรือใจปลาซิว? เดี๋ยวได้รู้กัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"รทสช." แถลงจุดยืนยึดความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แก้มาตรฐานจริยธรรม
สาวอ้างเป็นหมอUN หลอกเหยื่อให้รัก โอนเงินสูญนับล้าน
"ภูมิใจไทย" แถลงจุดยืน ไม่แก้รธน.รายมาตรา หนุนทำทั้งฉบับผ่านสสร.​ ​มอง​จริยธรรม เป็นคุณสมบัติจำเป็นนักการเมือง
เจ้าของฟาร์มจระเข้ชื่อดังลำพูน จำใจเชือดจระเข้พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์นับร้อยตัว เพื่อป้องกันหลุดจากบ่อ
กลุ่มศปปส.-เต้ อาชีวะ ไม่ทน บุกตึกพรรคส้ม ยื่นหนังสือปมอุ้มแรงงานพม่า
CPF เพิ่มขีดความสามารถคู่ค้าธุรกิจ เตรียมความพร้อมสร้างโอกาสเติบโตสู่เวทีการค้าโลก
คณะแพทย์ จุฬาฯ จับมือ มาเทรีย เมดดิคัล พัฒนานวัตกรรมการแพทย์เพื่อสุขภาพยั่งยืน
เปิดรายชื่อ ประธานกมธ.สามัญ วุฒิสภา 21 คณะ สว.สายสีน้ำเงินครอง 20 คณะ ปล่อย “อังคณา” สายอิสระ นั่งกมธ.พัฒนาการเมืองฯ
สาวหนึ่งในลูกค้า ร้านทอง “แม่ตั๊ก” สุดทน นำมาขายคืนได้ราคาต่ำ-แถมให้เซ็นเอกสาร พีคสุดซื้อไปใส่ไม่นาน ทองลอกแถมเขียว
แรงเกินต้าน "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระ ทุบสถิติ "ยอดขายบัตร" สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น