( 22 กันยายน 2564 ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 12-17 ปี ว่า รัฐบาลจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อฉีดให้แก่เยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไป เนื่องจาก เป็นกลุ่มวัยเรียนที่ต้องมีสังคมและกลับไปโรงเรียน
ทั้งนี้ ยืนยันว่า วัคซีนมีความปลอดภัย มีข้อมูลวิชาการรองรับ แต่การฉีดในเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องให้ผู้ปกครองยินยอม ซึ่งเป็นไปตามความสมัครใจ และไม่ได้นำมาเป็นข้อจำกัดไม่ให้เด็กไปโรงเรียน โดยวัคซีนไฟเซอร์ ล็อตแรก จะมาถึงวันที่ 29 กันยายนนี้ และส่งให้ครบ 30 ล้านโดส ในเดือนธันวาคม 2564 ส่วน กลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องรอผู้ผลิตวัคซีน ยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนกับ อย. เพิ่มเติม และเมื่อขึ้นทะเบียนแล้ว จะเร่งจัดหามาฉีดต่อไป
สำหรับการฉีดวัคซีนภาพรวม คาดว่า สิ้นเดือนตุลาคมนี้ จะฉีดได้เกือบ 60 ล้านโดส และทุกกลุ่มเป้าหมาย จะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกโดส ภายในสิ้นปี 2564 ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค ครบ 2 เข็ม ควรได้รับเข็มกระตุ้น เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะเริ่มวันที่ 24 กันยายนนี้ ขณะที่ วัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับ ปี 2565 สามารถจัดหาให้ประชาชนได้เพียงพอ เนื่องจาก ฉีดเพียงคนละ 1 โดส และจะติดตามว่า ต้องมีการฉีดเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลังหรือไม่ ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนให้มีความครอบคลุม แม้จะยังพบการติดเชื้อได้ แต่จะช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบในหลักการ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ศ. … ซึ่งมีการปรับปรุงให้เข้มข้นขึ้น หากประกาศโรคใดให้เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จะสามารถประกาศภาวะต่าง ๆ ด้านสาธารณสุข ประกาศความร่วมมือจากทุกหน่วยงานข้อกำหนด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ มีการทำงานร่วมกันมากขึ้น