ข่าวที่น่าสนใจ
นางสาวปาณิชา เล่าว่า ตอนแรกเธอตั้งใจจะพักเวทีแล้ว เพราะไปประกวดมาหลายเวทีและได้รางวัลมาแล้วหลายจังหวัด แต่เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ผู้จัดการเวทีกองประกวดคนดังกล่าว ได้ติดต่อมาเสนอให้ร่วมประกวดโดยการันตรีว่า จะได้มงกุฏอย่างแน่นอน แต่ต้องแลกกับเงิน 2 แสนบาท พร้อมรับประกันว่าเธอจะต้องชนะเลิศเวทีการประกวดดังกล่าว ประกอบกับมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง จากประสบการณ์การประกวดเวทีต่างๆมาก่อนหน้านี้ จึงตกลงจ่ายเงินตามที่มีการร้องขอมา โดยครั้งแรก จ่ายไป 5 หมื่นบาท และ ครั้งที่ 2 จำนวน 2 แสนบาท ( แบ่งเป็น เงินสัญญาที่เหลือ 1.5 แสน และเงินที่ถูกยืมอีก 5 หมื่น)
โดย ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการประกวด เธอยังถูกผู้จัดการเวทีกองประกวดยืมเงินอีกหลายครั้ง และให้ช่วยหาสปอนเซอร์สนับสนุนรางวัลต่างๆ ซึ่งมีบางรายการที่เธอต้องจ่ายสนับสนุนไป รวมๆเป็นเงินกว่า 8 แสนบาท
นางสาว ปาณิชา บอกว่า พอถึงวันประกวด ปรากฏว่า เธอกลับได้แค่เข้ารอบ top 5 ซึ่งไม่ตรงกับสัญญาที่คุยกันไว้ จึงไปถามเหตุผล ทางผู้จัดการเวทีกองประกวด บอกว่า ศักยภาพเธอไม่ถึง บอดี้ไม่ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับที่พูดกันตอนทำสัญญา จึงรู้สึกว่าถูกหลอกขายฝัน และรู้สึกเสียใจ เธอเชื่อว่า กรณีเธอไม่ใช่กรณีแรกที่ถูกหลอกขายฝัน จึงอยากจะออกมาเรียกร้องให้ทางสายไหมช่วยตรวจสอบ
ผู้เสียหายยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวแล้วเธอไม่ได้ถามนางงามคนอื่นว่ามีการจ่ายเงินแบบเธอหรือไม่ และเธอยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหากับคนที่ได้ที่ 1
ส่วนกรณีที่ไปทำสัญญาล็อคผลประกวดจะเป็นการเอาเปรียบผู้ประกวดรายอื่นหรือไม่นั้น ตนไม่ทันได้นึกถึงข้อนี้ แต่ส่วนตัวมั่นใจในศักยภาพของตัวเองและพอมีผู้ใหญ่มาให้โอกาสก็อยากจะคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ได้ จึงยอมตกลงจ่ายเงินให้
ขณะที่นายนิรันดร์ เกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กล่าวว่า ขั้นตอนทางกฎหมายจากนี้ไป จะประสานไปยัง สน.ที่ผู้เสียหายไปลงบันทึกประจำวันไว้ ว่า พฤติการณ์ของผู้จัดการเวทีกองประกวดมีความผิดเข้าข่ายใดบ้างเพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
