ข่าวที่น่าสนใจ
โดยนายธีรยุทธ ชี้แจงว่า เรากำลังจะเปิดกรณีศึกษา ที่ตนศึกษาเป็นการส่วนตัวคล้ายกับของพรรคก้าวไกล ที่เราเห็นได้ แต่ไม่อาจจะตัดสินได้ ซึ่งจากข่าวรวมถึงคำร้องต่างๆ เมื่อนำประติดประต่อกันแล้วเกิดความเชื่อมโยง ทำให้เกิดภาพที่ตนเห็นคือ ในคดีพรรคก้าวไกลศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าล้มล้างมีสิ่งที่ไปเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่หากเราลองหยิบคำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ออก แล้วเอาอีกสถาบันพรรคการเมืองไปใส่ ซึ่งในคำวินิจฉัยคดียุบพรรคไทยรักธรรม ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่ามีหลักการสำคัญตรงกัน ว่าสมาชิกพรรคต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการของพรรค มิเช่นนั้นย่อมจะเป็นช่องทางให้กลุ่มทุนหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เข้ามาใช้อำนาจครอบงำพรรคการเมือง โดยไม่มีสมาชิกพรรคโต้แย้งคัดค้าน และศาลยังบอกต่อว่าจะส่งผลให้พรรคการเมืองสูญเสียความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง ตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 45 อันเป็นเหตุให้พรรคการเมืองนั้น ไม่ส่งต่อเจตจำนงของประชาชนไปสู่การบริหารประเทศ แต่กลับส่งต่อเจตจำนงของกลุ่มทุนหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ไปสู่การบริหารประเทศนั้นแทน
นายธีรยุทธ ย้ำว่าตนเองไม่ได้รับจ้างใคร และถามว่ากับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตนก็ไม่เคยเจอตัวจริง เสียงก็ไม่เคยได้ยืนสักครั้ง ส่วนที่มีพูดกันว่าเป็นการจับมือกันทำนิติสงครามนั้น ก็เป็นเรื่องที่พูดกันไป ตนฟังก็เฉยๆ เพราะการแสดงความคิดเห็นของคนเราไปห้ามไม่ได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนาให้เกิด ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐแถลงใหญ่โตเหมือนร่วมมือกัน อีกทั้งคำร้องข้อที่ 5 ยังเป็นประเด็นที่ขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น คำร้องข้อที่ 5 มีหลักฐานในหน้าเฟสบุ๊กของพรรคเพื่อไทย และบริบทช่วงเวลานั้นพรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ก็ออกมาเสนอเอกสารหลายอย่างว่าพรรคทำข้อบังคับและกฎหมาย จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดได้ ซึ่งตอนที่ตนเขียนคำร้องพรรคอื่นก็มี แต่ตอนพัฒนาคำร้องตนก็เห็นว่าโยงขนาดนั้นไม่ได้ จึงเหลือแต่พรรคพลังประชารัฐ เพราะมันมีข่าว เช่นคำว่ารอบนี้ไม่มีวงษ์สุวรรณ ดังนั้นไม่ใช่การจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อทำนิติสงคราม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
