เอกสาร 2 ชิ้น ที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ รวบรวมความเคลื่อนไหวของกองทัพอิสราเอล ระหว่างตรียมตอบโต้อิหร่าน ซึ่งเป็นข้อมูลจัดชั้นความลับระดับสูง แต่กลับถูกแชร์ว่อนในโลกออนไลน์ หลังจากสื่อออนไลน์ที่ชื่อว่า “มิดเดิล อีสต์ สเปคเทเทอร์” (Middle East Spectator) นำมาเผยแพร่บนเทเลแกรมและ X เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ต.ค.)
“มิดเดิล อีสต์ สเปคเทเตอร์” อ้างว่าเป็นแหล่งข้อมูลเปิด วิเคราะห์สถานการณ์ตะวันออกกลาง ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด แต่สื่ออิสราเอลระบุว่าเป็นช่องสื่อที่เข้าข้างอิหร่าน พวกเขาอ้างว่าได้เอกสาร 2 ชิ้นนี้มาจากแหล่งข่าวไม่ประสงค์เผยตัวตนในหน่วยข่าวสหรัฐฯ และนำมาโพสต์โดยไม่สามารถยืนยันว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่
นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯยอมรับแบบส่วนตัวว่า เป็นเอกสารจริง แต่เป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของข้อมูลชุดเดียวกัน และไม่กระทบกับแผนการโจมตีอิหร่านของอิสราเอล ล่าสุด ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯกำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่ และเขากำลังติดตามอย่างใกล้ชิด
เอกสารที่รั่วออกมาภายนอก ลงวันที่ 15 กับ 16 ตุลาคม มีคำว่า “ลับสุดยอด” กับเครื่องหมายที่บ่งว่า เป็นข้อมูลที่รับรู้กันเฉพาะใน “ไฟวฟ์ อายส์” กุล่มพันธมิตรข่าวกรองที่ประกอบด้วยออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร
สำนักข่าว CNN และ ABC รายงานว่า เอกสารชิ้นหนึ่งมาจากสำนักงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐที่เก็บและวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม และภาพถ่ายทางอากาศ มีรายละเอียดเกี่ยวกับชนิดและจำนวนอาวุธ ที่กองทัพอากาศและกองทัพเรืออิสราเอลอาจนำมาใช้โจมตีอิหร่าน โดยตีความจากภาพถ่ายดาวเทียมในวันที่ 15-16 ตุลาคม เอกสารอีกชิ้นมาจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ หรือ NSA ที่ให้รายละเอียดคร่าว ๆ ว่ากองทัพอิสราเอลกำลังฝึกซ้อม ที่มีขีปนาวุธอากาศสู่พื้นเข้ามาเกี่ยวข้อง และเชื่อว่าเป็นการเตรียมการโจมตีอิหร่าน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บอก CNN โดยปกติ เอกสารข่าวกรองรั่วลักษณะนี้ จะทำให้หน่วยงานด้านข่าวกรองต่าง ๆ กระทรวงกลาโหมและสำนักงานสืบสวนกลาง หรือ FBI เปิดสอบสวนโดยอัตโนมัติ ข้อความในเอกสาร ยังเป็นการยืนยัน ว่าอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ เพราะข้อความหนึ่งในเอกสารระบุว่า สหรัฐฯไม่เห็นสัญญาณว่า อิสราเอลมีแผนจะใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมติหร่าน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯอีกคน ระบุว่า เอกสารสองชิ้นที่หลุดไป เลวร้าย แต่ที่น่ากังวลกว่าคือจะมีข่าวกรองรั่วเพิ่มหรือไม่ ขณะยังไม่ชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะถูกแฮค หรือเจตนานำความในออกมากันแน่
หากตรวจสอบพบว่าเป็นเอกสารจริง ก็ถือเป็นการละเมิดความปลอดภัยในระบบข่าวกรองของสหรัฐฯอย่างร้ายแรง จนทำให้ข้อมูลลับตกถึงฝ่ายตรงข้าม คล้ายกับเหตุการณ์ที่มีเอกสารจัดชั้นความลับหลายร้อยชิ้น ถูกนำไปแชร์บน ดิสคอร์ด แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อปีที่แล้ว
