กทม.หมดเวลายื้อ”ศาลปกครองสูงสุด”ยกคำร้องขอรื้อคดีหนี้ BTS “ชัชชาติ” ยื่นสภาฯ 12 พ.ย. ขออนุมัติงบฯ

กทม.หมดเวลายื้อ"ศาลปกครองสูงสุด"ยกคำร้องขอรื้อคดีหนี้ BTS "ชัชชาติ" ยื่นสภาฯ 12 พ.ย. ขออนุมัติงบฯ

กทม.หมดเวลายื้อ”ศาลปกครองสูงสุด”ยกคำร้องขอรื้อคดีหนี้ BTS “ชัชชาติ” ยื่นสภาฯ 12 พ.ย. ขออนุมัติงบฯ

 

ยังเป็นประเด็นร้อน สำหรับปัญหาการค้างชำระหนี้ สำหรับค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 (ส่วนต่อขยายสายสีสม สะพานตากสิน-บางหว้า และสายสุขุมวิท อ่อนนุช-แบริ่ง) และ ส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ)

ภายหลังจากเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567 ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 ระหว่างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) กับกรุงเทพมหานคร กับ บริษัทกรุงเทพธนาคม โดยกำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดี ร่วมกันจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348,659,232.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830.27 บาท

และหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195.47 บาท

 

โดยมูลหนี้ดังกล่าว จะต้องจ่ายพร้อมอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือ จนถึงวันนี้ ( 6 พ.ย.2567) หรือ นับจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้ กทม.และ บริษัทกรุงเทพธนาคม ดำเนินการจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง รถไฟฟ้าสีเขียว เฉพาะมูลหนี้ก้อนแรก ผ่านมาแล้ว 103 วัน ทางกทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม ยังไม่ดำเนินการชำระหนี้ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC แต่อย่างใด

ทั้ง ๆ ที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. และ คณะผู้บริหาร มีคำยืนยันมาโดยตลอด ว่า พร้อมจะเร่งดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากความล่าช้าในการจ่ายหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ส่งผลกระทบต่อภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน

โดยจากความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา พบว่า เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 67 ในการประชุมสภากทม. ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว แต่คณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. อ้างว่าได้รับข้อมูล กรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจ้างเดินรถและซ่อมบํารุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

จึงมีมติให้สำนักการจราจรและขนส่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดฯ ดังกล่าว ตลอดจนพฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาในคดีและมีมติชี้มูลความผิดฉบับเต็มของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. แต่เวลาได้ล่วงเลยมาจนสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2567แล้ว คณะกรรมการวิสามัญฯยังมิได้รับเอกสารตามที่ร้องขอแต่อย่างใด

ประกอบกับร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ต้องประกาศใช้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 แต่กรุงเทพมหานครได้เข้าสู่การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แล้ว จึงเห็นควรให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทบทวนร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. และหากกรุงเทพมหานครมีความชัดเจนในเรื่องการชําระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแล้ว สามารถนําเสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เข้าสู่การพิจารณาของสภากรุงเทพมหานครต่อไป”

ซึ่งทางด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุว่า เป็น 2 กรณีที่เกิดขึ้น จากความเห็นของคณะกรรมการฯ จึงขอถอนร่างข้อบัญญัติฯ ดังกล่าว

ในทางตรงข้าม กรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 67 “ทีมข่าวท็อปนิวส์” ได้รับการยืนยันจาก นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ ว่าที่เลขาฯ ป.ป.ช.ว่า สำนวนคดีบีทีเอสกับอดีตผู้ว่ากทม.อยู่ที่อัยการ ส่วนจะเป็นเหตุให้กทม.อ้างไม่จ่ายเงินให้กับบีทีเอส ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้หรือไม่ ต้องไปดูกฎหมายและระเบียบของกทม.

“แต่ตนเข้าใจว่าขั้นตอนนี้อยู่ในกรอบคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งกทม.มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ส่วนป.ป.ช. จะตอบเฉพาะในหลักการ เพราะ ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นคู่สัญญา จึงจะไปตัดสินว่าจะต้องจ่ายหรือไม่จ่ายไม่ได้ อีกทั้งในส่วนคดีที่ป.ป.ช.พิจารณาชี้มูลนั้นเป็นคดีอาญา ส่วนมูลหนี้ค้างชำระระหว่าง กทม.กับ เอกชน เป็นเรื่องเรื่องทางแพ่ง ป.ป.ช.คงไปก้าวล่วงไม่ได้ และในทางอาญาคดียังอยู่ระหว่างพิจารณาฟ้องต่อศาล ยังไม่ได้ถึงที่สุดในชั้นการพิจารณาของศาลเลย”

ต่อมา ในวันทื่ 17 ต.ค. 67 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กล่าวถึงประเด็นการชำระหนี้คืนให้กับ BTSC อีกครั้ง โดยยอมรับว่า ได้มีการส่งหนังสือไปยัง ป.ป.ช. สำนักงานอัยการสูงสุด โดยเฉพาะ ศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในลักษณะขอพิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากข้อมูลประกอบการพิพากษาไม่เป็นปัจจุบัน และมีผู้ที่เกี่ยวข้องทักท้วงเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

ทั้งนี้ นายชัชชาติ อ้างว่า กระบวนการดังกล่าวจะไม่ทำให้ขั้นตอนการจ่ายหนี้ล่าช้า เพราะ ศาลปกครองสูงสุด อาจมองว่า ไม่มีเรื่องหรือประเด็นสำคัญ แล้วยกเรื่องไปเลยก็จบ แต่หากกทม.ไม่ทำก็เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง และจะทำให้การจ่ายเงินมีการล่าช้ามากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน นายชัชชาติ ยังระบุว่า การยื่นข้อสงสัยต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคดีใหม่ ไม่ใช่การยืดหนี้ แต่เพื่อให้มั่นใจว่าศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ทั้งยังย้ำว่า มีความกังวลเรื่องภาระอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน แต่การดำเนินการเพื่อจ่ายหนี้จะต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน จะต้องดำเนินการอย่างไร รวมไปถึงการจ่ายก้อนเงินตามคำร้องของเอกชน ที่ยังค้างอยู่ที่ศาลปกครองสูงสุด รวมถึงหนี้ก้อนอื่นๆอีกด้วย ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านสภากทม.จึงต้องทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น

 

ล่าสุด วันนี้ ( 6 พ.ย. 67) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. เปิดเผยกับสำนักข่าว TOPNEWS ภายหลังการประชุมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้ BTSC โดยยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง ที่กทม.ได้มีการยื่นเรื่องศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่มีข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน

แต่เมื่อวานนี้ ( 5 พ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายกคำร้องดังกล่าวแล้ว โดยในคำพิพากษาดังกล่าว ระบุว่า เนื่องจากว่า ปปช.ยังไม่มีชี้มูล ความผิด เพียงแต่เป็นการแจ้งข้อกล่าวหา ทำให้ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดี

อีกทั้งศาลปกครองสูงสุด ชี้แจงด้วยว่า ใน การพิจารณานั้น ศาลปกครองสูงสุดได้นำเอาเรื่องการชี้มูลความผิดของป.ป.ช.มารวมอยู่ในคำแถลงแล้ว ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้ข้อสงสัยที่ทางสภากทม. ติดใจอยู่ได้รับคำชี้แจงไปด้วย

ส่วนจะมีการยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองสูงสุดต่อหรือไม่ นายชัชชาติ ระบุว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดของเรื่องนี้ จึงต้องรออัยการส่งเอกสารแจ้งมาก่อนจึงจะพิจารณาอีกครั้ง แต่การดำเนินการขณะนี้เป็นไปในทิศทางจะไม่มีการยื่นอุทธรณ์ใด ๆ รวมถึงทางกทม.จะทำเป็นญัตติ ส่งเข้าไปให้สภากทม.พิจารณาอีกครั้ง ในวันที่ 12 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ในการใช้หนี้ให้กับ BTSC นั้น ที่ผ่านมาปปช. ได้ออกมาระบุว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องของการชี้มูลความผิดคดีอาญาอื่น ๆ ทางกทม.สามารถจ่ายหนี้ให้เอกชนได้ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด นายชัชชาติ ระบุว่า ในเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ ทางป.ป.ช. ไม่ได้บอกกทม. จึงไม่ทราบว่าป.ป.ช. ท่านใดเป็นคนให้ข้อมูลในเรื่องนี้ และย้ำว่าประเด็นหลักของกทม. อยู่ที่คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เกี่ยวกับการชี้มูลความผิดของป.ป.ช.

ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกครั้งว่าแสดงว่า ทางดกทม. ได้มีการยื่นเรื่องไปยังศาลปกครองสูงสุดจริง ซึ่งนายชัชชาติ ยอมรับมีการยื่นเรื่องให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีนี้ใหม่จริง เพื่อความรอบคอบ และจากคำทักท้วงจากหลายฝ่ายจึงต้องส่งเรื่องไปเพื่อความชัดเจน พร้อมยืนยัน กทม. เคารพการตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้น เมื่อได้ทำหนังสือขอศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีใหม่ไป แล้วศาลปกครองสูงสุดได้มีหนังสือตอบกลับมาว่าจะไม่พิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากได้มีการพิจารณาไปแล้ว ทางด้านของกทม.ก็สบายใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ท้ายสุดต้องติดตามต่อไปว่า กทม. จะอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในเรื่องขอพิจารณาคดีใหม่หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาการจัดการเรื่องปัญหาหนี้ระหว่าง กทม. บริษัทกรุงเทพธนาคม กับ BTSC มีความย้อนแย้งเกิดขึ้นตลอดเวลา และ สภากทม.จะตัดสินใจอย่างไร จากคำสั่งศาลปกครองสูงสุด และ คำอธิบายชอง ป.ป.ช. ในการชี้แนะให้ทำตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 26 ก.ค.2567

ประเด็นสำคัญที่ต้องเน้นย้ำก็คือ การดำเนินการของผู้บริหารกทม. ทำให้ปัจจุบัน กทม. มีภาระดอกเบี้ยต้องจัดหางบประมาณ นำจ่าย BTSC เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เฉพาะมูลหนี้ก้อนแรกกว่า 1.2 หมื่นล้าน ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันทื่ 26 ก.ค. 67 แล้ว 206 ล้านบาท เมื่อคิดคำนวณภาระดอกเบี้ย วันละ ประมาณ 2 ล้านบาท ในช่วง 103 วันที่ผ่านมา และ อีก 77 วัน ที่เหลือครบกำหนด 180 วัน ยอดมูลหนี้รวมจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ กทม. และ สภากทม. จะรับผิดชอบ อย่างไร ซึ่งข้อเท็จจริง กทม.ไม่ได้ค้างหนี้ BTSC แค่ กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท แต่มียอดหนี้ค้างจ่ายรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท และถ้าคิดเป็นภาระดอกเบี้ย คือ ตกวันละกว่า 7 ล้านบาท ที่ กทม.ต้องรับผิดชอบ แต่ ณ วันนี้ ภาระต่าง ๆ ทั้งหมด กทม.ปล่อยให้ภาคเอกชน เป็นผู้แบกรับแทน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"หลวงพี่น้ำฝน" แจงสั่งตามลูกศิษย์ ส่งตัวให้ตร. ยืดอกรับผิด ย้ำไม่สนับสนุนความรุนแรง เตือน "พระปีนเสา" ปากจะพาเดือดร้อน
"ศปช." ย้ำ "ภาคใต้" ฝนกระหน่ำต่อเนื่อง “ภูมิธรรม” กำชับเร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
"ภรรยา-ลูกสาว" ของหมอบุญ เข้ามอบตัวกับตร. ตามหมายจับร่วมกันฉ้อโกง กว่า 7.5 พันล้านบาท
“บิ๊กก้อง” สั่ง ปอศ.ส่งสำนวน ‘หมอบุญ’ ฉ้อโกงปชช.-หลอกลวงลงทุน ให้ดีเอสไอ เป็นคดีพิเศษ
"พิชัย" นำทีมพณ.เจรจา รมต.การค้า 7 เขตเศรษฐกิจเอเปค เพิ่มเชื่อมั่นไทยเป็นศูนย์กลางผลิตสินค้าอุตฯสมัยใหม่
หนุ่มเจ้าของบริษัท ผวา พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดซุกซ่อนอยู่ใต้ท้องรถยนต์เก๋ง
แนะยุบ กกต.ทิ้ง เทพไท แฉ เลือกตั้ง อบจ.เมืองคอนซื้อเสียงเปิด เผย โวย กกต.นั่งดูตาปริบๆ แนะยุบทิ้งดีกว่ามั้ย
"เชน ธนา" พาสื่อทัวร์โกดัง ยันสินค้าอยู่ครบ ไม่ได้แอบขายเอาเงินไปใช้ตามข่าว ย้ำชัดไม่ได้โกงคู่กรณี
ตร.จ่อเรียก “เอก สายไหมฯ” สอบอีกครั้ง หลังให้การขัดแย้งพยาน
"สปป.ลาว" ออกแถลงการณ์ "เสียใจสุดซึ้ง" ปม นทท.เสียชีวิตดื่มเหล้าเถื่อน ยันเร่งนำตัวคนร้ายมาลงโทษ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น