“ทนายสายหยุด” ยันชัด “เมียทนายตั้ม” ไม่รู้เห็นคดีฉ้อโกง เผยเครียดคิดถึงลูก อยากได้ประกันตัว

"ทนายสายหยุด" ยันชัด "เมียทนายตั้ม" ไม่รู้เห็นคดีฉ้อโกง เผยเครียดคิดถึงลูก อยากได้ประกันตัว

เมื่อเวลา 15.24 น. วันนี้ (11 พ.ย.67) นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวว่า ตนเองติดภารกิจจึงมาเยี่ยมนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยาของทนายตั้ม ในช่วงบ่าย ได้พูดคุยอยู่ประมาณ 15 นาที ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาคนที่เคยอยู่ข้างนอก แต่กลับมาถูกคุมขัง ก็ต้องมีอาการเครียด และวิตกกังวลบ้าง รวมไปถึงมีความเป็นห่วงบุคคลข้างนอก และคิดถึงลูก ถามเรื่องการประกันตัว

สำหรับเรื่องการประกันตัวของนางปทิตตา ต้องรอให้พ้นฝากขังผัดแรกในระยะเวลา 12 วัน จบไปก่อน ส่วนจะอนุญาตให้ประกันหรือไม่นั้น ตนเองไม่ขอคาดเดา ต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการสอบสวน และพยานหลักฐาน ที่ตนเองจะนำมาประกอบกับคำร้อง เพื่อชี้ให้เห็นว่านางปณิตา ไม่ทราบว่าเงินที่มาซื้อได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งตนเองก็ได้แนะนำว่า ทำใจให้สบาย ค่อยๆ ปรับตัวไป อย่าให้ร่างกายเจ็บป่วยต้องรับสภาพอยู่ให้ได้ ที่ผ่านมา ตนเองมีประสบการณ์เรื่องเยี่ยมผู้ต้องขัง ดังนั้น ข่าวสารภายนอกอะไรที่ไม่ดีก็จะไม่เล่าให้ผู้ต้องหาฟัง ส่วนตัวของตั้มยืนยัน ไม่ประกันตัวจนกว่าจะพิจารณาคดีเสร็จสิ้น เพราะมองแล้วน่าจะประกันตัวยาก

ส่วนการพูดคุยกับนางปณิตา ให้ข้อมูลเพียงว่า หลังแต่งงานกับตั้ม ทุกอย่างจะต้องโอนเป็นชื่อของตนเองหมด นอกนั้นก็ไม่รู้ในรายละเอียดว่าตั้มไปทำอะไรเอาไว้ รู้เพียงว่า ตนเองได้ไปรับโอนที่ดิน โดยตั้มเป็นผู้ซื้อแคชเชียร์เช็คไป ในวันรับโอน ส่วนที่สังคมมองว่า เป็นสามีภรรยากันจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไรนั้น ตนเองมองว่าบางครอบครัวก็ปกปิด ไม่จำเป็นต้องบอกกันทุกเรื่องว่าไปทำอะไรมา ส่วนตัวตั้ม ก็ทำงานเป็นทนายความมานาน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีความสามารถในการซื้อบ้านหลังละ 30 ล้านปลายๆ ซึ่งตนเองก็ตอบแทนเขาไม่ได้ 100%

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ซึ่งในวันพรุ่งนี้เช้า ตนเองจะเข้าพบทนายตั้ม โดย 5 วันแรกยังเยี่ยมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ก็จะพูดคุยเรื่องทั่วไป ความเป็นอยู่สารทุกข์สุขดิบ ส่วนเรื่องสาระทางคดีต้องมาเยี่ยมเป็นการส่วนตัว โดยการเบิกตัวมาพูดคุยต้องผ่านพ้น 5 วันนี้ไปก่อน

สำหรับประเด็นเงิน 39 ล้าน ตอนนี้ตำรวจยังไม่เจอตัวทั้ง สารินี และนุ ตนเองขอไม่ก้าวล่วง หรือไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะคดีนี้ ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับทนายตั้ม และตนเองก็ยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ แต่หากตำรวจไปเจอตัวทั้งสองคนนี้ และให้การเกี่ยวพาดพิงกับตัวทนายตั้มนั้น ตนเองมองว่า ตามหลักกฎหมายคนที่ซัดทอดไม่ให้ตนเองพ้นผิดก็ถือว่าเป็นพยานที่ฟังได้ยาก ซึ่งตนเองก็ยังไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้ แต่หลังจากนี้ หากตนเองดูแล้ว ทั้งตำรวจ หรือพยานหลักฐานชัดเจนว่าลูกความของตนเองกระทำความผิดจริง ตนเองจะขอไม่รับทำคดีนี้อย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ดูตนเองก็ยังไม่เห็นหลักฐานการกระทำความผิด

ส่วนคดีเงิน 71 ล้าน ที่มีการเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ทางคดีนั้น จากการให้โดยเสน่หา มาเป็นเรื่องการลงทุน ทนายสายหยุดบอกว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่ง การให้โดยเสน่หา ระบุไว้สั้นๆ 3 บรรทัดว่า ผู้ให้ทรัพย์ ผู้รับทรัพย์ ก็ถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่มันต้องมีการตีความออกไป จึงทำให้ทนายตั้ม เข้าใจว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ตนเองได้เทียบเคียงว่าเป็นการยืมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มีการนำเงินมาลงทุน และนำมาทำเพียงคนเดียว ไม่ได้ชวนแน่นอน แต่การที่ทนายตั้มพูด กับหนุ่ม-กรรชัย เป็นการแสดงความคิดเห็นไม่ได้ให้การกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด ดังนั้น จากพยานหลักฐานที่ตนเองมี ทนายตั้ม ไม่ได้ชักชวนร่วมลงทุนใดๆ จึงไม่น่าเข้าข่ายหลอกลวงลงทุน

 

 

 

ทนายสายหยุด ยังย้ำอีกว่า ทนายตั้ม ไปขอเงินพี่อ้อยมาลงทุน ไม่ได้มีคำว่า “ยืม” และที่ผ่านมา พี่อ้อยก็ไม่ได้ทวงถามอะไรเลย ตั้งแต่ที่ยืมมาเมื่อช่วง มกราคม 2567 แต่เพิ่งจะมาทวงคืนเดือนกันยายนนี่เอง และตอนที่ไปขอเงิน ก็ไม่มีสัญญาอะไร และมองว่า หากบอกว่า ทนายตั้ม หลอกลวงเอาเงินมาลงทุน ทำไมถึงไม่ถามความคืบหน้าผลตอบแทน หรืออะไรเลย ผมขอยืนยันว่า ไม่ใช่การร่วมลงทุน และเมื่อตอนที่พี่อ้อย มาทวงทนายตั้ม ก็มาบอกกับผม ผมก็บอกว่า ก็รอไว้ละกัน เขามาฟ้อง ก็ไปไกล่เกลี่ยกัน

 

ส่วนเงินที่กองปราบฯ ยึดมาได้ เป็นเงินสด 28 ล้าน และบ้านมูลค่า 43 ล้าน รวมกันแล้วได้ 71 ล้าน ประเด็นนี้ ตรงกับเงินที่ทนายตั้มไปขอพี่อ้อยมาใช่หรือไม่ ประเด็นนี้ ผมยังไม่ได้ถาม แต่ที่ทราบ แคชเชียร์เช็ค 2 ใบ 9 ล้าน และ 29 ล้าน รวมกัน 38 เกือบ 39 ล้าน ส่วนเงินสดในบัญชีที่อายัดไป ผมไม่ทราบ ผมถือว่าเป็นมาตรการยึดทรัพย์ของ ปปง. ถ้าเราสู้คดีหลักได้ เขาก็คืนให้

 

 

ทั้งนี้ หลังจากที่ทนายสายหยุด ให้สัมภาษณ์เสร็จ ก็ได้เจอกับทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ที่ออกมาจากเรือนจำ หลังดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา 18 บอส ดิ ไอคอน เสร็จสิ้น ที่มารอให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ด้านทนายสายหยุด ได้เดินเข้าไปจับแขนให้กำลังใจด้วยท่าทีเป็นกันเอง และทนายสายหยุด บอกกับทนายวิฑูรย์ ว่า ถ้าทนายตั้มเขา “เจอกับบอสดิไอคอน ก็ฝากฝั่งบอสให้ดูแลพี่ตั้ม ก็ให้ปรับทุกข์กันนะ เรื่องข้างนอกก็ลืมซะ”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ทนายบอสพอล" จ่อแจ้งความเอาผิด "กฤษอนงค์-ฟิล์ม" ปมตบทรัพย์ 20 ล้าน เชื่อ "กฤษอนงค์" แก้ต่างเอาตัวรอด
"กรมวังฯ" ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข จ.กาญจนบุรี
"ตร.น้ำ" เปิดจุดเช็คอิน “Balloon CIB” รักษาความปลอดภัย-รับแจ้งเหตุร้าย ช่วงเทศกาลวันลอยกระทง
"พรรคปชน." ชงร่างแก้รธน.แล้ว 17 ฉบับ สารพัดเรื่อง ปมจริยธรรม สิทธิประกันตัว 3 นิ้ว
สสส.สานพลังภาคี ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่ “สังคมกระฉับเฉง” ตั้งเป้าขยับกายเพิ่ม 85% ในปี 73
บ่อวินอ่วม!! หลังพายุฤดูร้อนพ่นพิษทำฝนตกหนักน้ำท่วมถนนหลายสายในพื้นที่
ตร.สั่งปราบ "แก๊งเก็บค่าจอดรถ" งานวัดภูเขาทอง ย้ำไม่ได้นิ่งเฉย
ตำรวจสหรัฐรวบแก๊งฉ้อโกงใส่ชุดหมีทำลายรถเคลมเงินประกัน
“อนุทิน” สั่งเข้มมท. "เลือกตั้งท้องถิ่น" แจ้งขรก.ทุกระดับ ต้องวางตัวเป็นกลาง
“ทนายวิฑูรย์” เผย “บอสพอล” สั่งเอาผิด “กฤษอนงค์-ฟิล์ม” ข้อหาพยายามฉ้อโกง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น