“นักอาชญาวิทยา” เปิดแผนประทุษกรรม หลัง “ทนายตั้ม” ฉ้อโกง “เจ๊อ้อย” เชื่อเหตุตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก หวังฮุบสมบัติ

รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล เปิดแผนประทุษกรรม หลัง "ทนายตั้ม" ฉ้อโกง "เจ๊อ้อย" เชื่อเหตุตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก หวังฮุบสมบัติ

“นักอาชญาวิทยา” เปิดแผนประทุษกรรม หลัง “ทนายตั้ม” ฉ้อโกง “เจ๊อ้อย” เชื่อเหตุตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก หวังฮุบสมบัติ – Top News รายงาน

 

จากกรณี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” ฉ้อโกง เจ๊อ้อย บอกว่า ได้มีการสัมภาษณ์เจ๊อ้อยเพิ่ม ก่อนจะเดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล จะทยอยนำมาเผยแพร่ต่อไป  โดยจะเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้มั่นใจแล้วว่ากรณีเงิน 39 ล้านบาท ที่อีกฝ่ายพยายามอ้างว่าแสกมเมอร์ดูดเงินไปนั้น มีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินกันเท่าไหร่

ทั้งนี้ คดี 39 ล้านนั้น อ.ปานเทพ บอกว่า จะทำให้เห็นชัดเจนว่าทั้งหมดเป็นกระบวนการหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้รู้แม้กระทั่งว่าเงิน 2 ล้านบาทแรก ที่อ้างว่าโอนไปที่ดาราจีน แท้จริงแล้ว มีการโอนเงินเพียงแค่ 1 ครั้ง ในมูลค่า 100,000 บาทเท่านั้น  ส่วนเงินที่เหลือเป็นเรื่องโกหก และนำเงินไปเฉยๆ รวมถึงมีการแจ้งความเท็จในเวลาต่อมา ที่สำคัญ เงิน 39 ล้านบาท แบ่งเงินแล้วชัดเจน และมีก้อนหนึ่งที่เป็นเงิน 20 ล้านบาท ที่แบ่งสันปันส่วน มีขบวนการขนเงินกันอย่างชัดเจน สร้างหลักฐานว่าอยู่เมืองนอก

ดังนั้น ทนายตั้ม จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยตัวเองก็มีการพูดคุยโทรศัพท์ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคืบหน้า และจะเป็นพฤติกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวสอดรับกับคดี 71 ล้านบาท อย่างแน่นอน

อีกประเด็นที่จะมีการเปิดข้อมูลเพิ่ม คือ กรณีทนายตั้มมีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของพี่อ้อย ซึ่งพบว่า มีขบวนการก่อนหน้านั้น คือ การทำพินัยกรรม  และให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของ เจ๊อ้อย จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่างๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่งเจ๊อ้อยได้ปฏิเสธทั้งหมด

ข่าวที่น่าสนใจ

แม้ขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมแล้ว แต่ทนายตั้มยังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย อ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า  ซึ่ง ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้นในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไรจะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คอีกครั้งหนึ่ง

 

โดยคดีนี้เริ่มปี 2565 และยกเลิกใน 2567 ซึ่งกว่า เจ๊อ้อย จะรู้เรื่องทั้งหมดได้ก็เมื่อมีปัญหา จึงเป็นที่มาของการยกเลิกในภายหลัง เมื่อพบพฤติกรรมผิดปกติ จึงได้ไปทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 กับหน่วยงานภาครัฐแล้ว  ฉะนั้น พินัยกรรมฉบับเก่าจึงไม่ผูกพัน และเจ๊อ้อยมีเจตนาที่ต้องการจะยกเลิกอย่างชัดเจน เพราะพบว่า มีความผิดปกติในหลายกรณี ทั้งเรื่องของการใช้เงิน, การใช้รถหรู และกรณี 71 ล้านบาท จึงคิดว่าต้องมีการยุติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องที่ทนายตั้ม มีความพยายามจะเป็นผู้จัดการมรดกเจ๊อ้อยนั้น ด้าน รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต  ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวท็อปนิวส์ โดยกล่าาว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นทนายความ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมาย และขณะนี้ ทนายตั้ม ถูกเป็นผู้กล่าวหาในคดีการฉ้อโกง เจ๊อ้อย จนกลายเป็นข่าวโด่งดังชั่วข้ามคืน และคดีก็กำลังดำเนินอยู่ในกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย

 

นักอาชญาวิทยา

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่ทนายตั้มจะเป็นผู้จัดการมรดก และหวังจะมาดูแลจัดการทรัพย์สินมรดกของเจ๊อ้อยทั้งหมด

รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้งคู่มีคดีก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะแผนประทุษกรรม ที่เกิดขึ้นพบว่ามีลักษณะที่คล้ายๆกัน  ยกตัวอย่างเช่นตำรวจเวลาทำคดี ก็จะไปดูแผนประทุษกรรมของคนร้าย เนื่องจากเวลาเจอเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้น ตำรวจจะไปดูแผนประทุษกรรม ลักษณะแบบนี้เคยมีคนร้ายก่อเหตุหรือไม่

นักอาชญาวิทยา

จึงต้องกลับมาศึกษาคดีของทนายตั้ม ดูแผนประทุษกรรมหรือรูปแบบในการหลอกลวงเจ๊อ้อย ก็พบว่ามีลักษณะคล้ายๆกัน นั่นหมายความว่า หากทนายตั้มมีความพยายาม จะเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อย และเกิดเหตุไม่คาดฝัน ต่อกรณีพี่อ้อยเสียชีวิต ก็อาจจะทำให้ผู้จัดการมรดก มาจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นให้กับเจ๊อ้อย

 

ไม่เพียงเท่านั้น รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ ยังได้ฝากถึงประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับการไปปรึกษาผู้ที่มีวิชาชีพด้านกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ  ย่อมได้ประโยชน์จากการได้รับคำปรึกษาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่อีกมุมหนึ่งก็คือ หากเราไปเชื่อใจนักกฎหมาย หรือทนายความมากจนเกินไป เราอาจจะกลายเป็นเหยื่อของคนร้ายได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า นักกฎหมาย หรือ ทนายความย่อมรู้ทางหนีทีไล่ และอาศัยช่องโหว่ของกฏหมาย ในการที่จะมาหลอกลวง หรือโกงทรัพย์สินจากเราได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ดีเดย์เคลียร์หนี้ "BTS" สภากทม.นัด 22 พ.ย. เคาะงบฯจ่ายเพิ่มเติม ปี 68
ตร.พบกระเป๋าต้องสงสัยใต้สะพานลอย สถานีรถไฟฟ้าศูนย์ราชการนนทบุรี เร่งหาเบาะแสมือดี ทำปชช.แตกตื่น
ศาลสั่งยึด "เทสลาขาว" ขับปาดไปมาบนทางด่วน คุก 1 เดือนปรับ 5 พันบาท
นักท่องเที่ยวจีนตื่นเต้นกับต้นฤดูหนาวที่เมืองโม่เหอ
จีนซัดชาติตะวันตกวิจารณ์ศาลฮ่องกง
ชายจีนขับรถพุ่งชนผู้คนที่หน้าโรงเรียนประถม
กลุ่มประเทศนอร์ดิกเตือนภัยรับมือสงคราม
"พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์" เผยกฎระเบียบ "ตร.ใหม่" ป้องกันตั๋วช้าง คัดสรรตำรวจเพื่อประชาชน
ชาวอสม.เฮ! “สมศักดิ์” เผยข่าวดี ปีหน้า “ธกส.” ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 6
“กรมที่ดิน” ยันทำตามคำสั่งศาลปกครอง ปมรังวัดเขากระโดง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น