รอยเตอร์สและ AFP รายงานว่านายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียได้ให้สัมภาษณ์กับทัคเกอร์ คาร์ลสัน อดีตผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ของสหรัฐซึ่งออกอากาศเมื่อวานนี้ (พฤหัสที่ 5 ธค.) กล่าวว่าการที่รัสเซียยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก “โอเรชนิก” ไปยังเมืองดนิโปร ของยูเครนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นการส่งสัญญานเตือนชาติตะวันตกว่ารัสเซียพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องประเทศและสกัดความพยายามของสหรัฐและชาติตะวันตกที่จะ “เอาชนะด้านยุทธศาสตร์” เหนือรัสเซีย
ลาฟรอฟกล่าวว่ารัสเซียหวังว่าสหรัฐและพันธมิตรที่ส่งขีปนาวุธพิสัยไกลไปให้ยูเครนจะพิจารณาสัญญานเตือนภัยของรัสเซียครั้งนี้อย่างจริงจัง และว่าสหรัฐต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลก เพื่อครอบงำประเทศอื่นๆ แต่รัสเซียต่อสู้เพื่อปกป้องความมั่นคงของตัวเอง
ทั้งนี้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินเผยว่าขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง “โอเรชนิก” เป็นขีปนาวุธเทคโนโลยีใหม่ของรัสเซียซึ่งยังไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศชนิดไหนที่สามารถสกัดได้ และว่าหากจำเป็น รัสเซียพร้อมที่จะใช้ขีปนาวุธทุกชนิดในการทำสงครามเพื่อปกป้องตนเอง
รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียยังได้ย้ำเป็นภาษาอังกฤษให้เข้าใจกันชัดๆว่าชาติตะวันตกได้ปฏิเสธที่จะเจรจาเรื่องการรับประกันความมั่นคงกับรัสเซียมาอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนๆก่อนที่รัสเซียจะตัดสินใจส่งกองทัพเข้าสู่ยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และว่าตอนนี้ยูเครนก็ได้สูญเสียโอกาสที่จะปกป้องอธิปไตยของตัวเองแล้ว หลังจากที่ปฏิเสธข้อตกลงของรัสเซียถึง 2 ครั้งทั้งก่อนเกิดสงครามและระหว่างการเจรจาในเดือนเมษายน 2565 ซึ่งลาฟรอฟย้ำว่ารัสเซียไม่ได้เป็นผุ้เริ่มสงคราม รัสเซียได้เตือนนาโตหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าการส่งทหารเข้าใกล้พรมแดนรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆจะทำให้เกิดปัญหาและการเผชิญหน้า และว่าชาติตะวันตกควรต้องล้มเลิกความคิดที่ว่ารัสเซียไม่มี “เส้นแดง” ใครคิดจะข้ามก็ข้ามได้ ซึ่งความคิดเช่นนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ส่วนแผนสันติภาพของยูเครนตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์และไม่มีความหมายแล้ว