ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะระหว่างเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ตรงกับการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกร และการเผาในพื้นที่เกษตร เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตพืชเศรษฐกิจให้ได้หลายรอบต่อปี เช่น การเผาใบอ้อย ตอซังฟางข้าว และตอซังข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้ภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากปัญหาดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ภาคการเกษตร จึงมีมติให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมาตรการเชิงรุกกับเกษตรกรที่ไม่ให้ความร่วมมือทำการเผาผลผลิตทางการเกษตรในที่ดินของรัฐจัดให้ พร้อมวางบทลงโทษพิจารณาตัดสิทธิ์ ไม่ให้สิทธิ์เพิกถอนสิทธิ์ หรือไม่ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งพิจารณาตัดสิทธิ์ความช่วยเหลือหรือชดเชยต่าง ๆ จากภาครัฐ และสิทธิ์การทำการเกษตรในที่ดินของรัฐบาลด้วย
ด้านนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ภายใต้การกำกับดูแลของศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญเรื่องแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นอย่างมาก เนื่องจากเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนทุกภาคส่วน จึงออกแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ภาคการเกษตร ในเขตพื้นที่นิคมสหกรณ์ โดยสั่งการไปยังสำนักงานสหกรณ์จังหวัด ที่มีพื้นที่ Hotspot ให้กำชับกวดขัน “นิคมสหกรณ์” ในพื้นที่รับผิดชอบให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ไม่ให้มีการเผาในเขตพื้นที่นิคมสหกรณ์โดยเด็ดขาด หากตรวจสอบพบว่ามีเกษตรกรสมาชิกที่ฝ่าฝืนเผาในเขตพื้นที่นิคมสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะดำเนินการชะลอการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสหกรณ์ (กสน.3) และชะลอการได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (กสน.5) ซึ่งเป็นเอกสารที่สามารถนำไปขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ รวมทั้งจะไม่ได้รับการสนับสนุนแผนงาน/โครงการ/เงินอุดหนุนของรัฐบาล ในฐานะสมาชิกนิคมสหกรณ์ และจากสหกรณ์ที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ด้วย
“อย่างไรก็ตาม นิคมสหกรณ์ต้องรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการรายเดือน ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี พ.ศ.2568 ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ทราบ ภายในวันที่ 7 ของทุกเดือน จนกว่าจะสิ้นสุดสถานการณ์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รวบรวมผลการดำเนินการ และรายงานให้กรมควบคุมมลพิษทราบเพื่อวางแผนดำเนินการต่อไป” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย