คำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า ความช่วยเหลือที่ให้แก่ต่างประเทศหลายกรณี ไม่ใช่ผลประโยชน์และขัดค่านิยมอเมริกัน และยังเป็นไปเพื่อบั่นทอนสันติภาพของโลกด้วยการส่งเสริมแนวคิดในต่างประเทศ ที่ส่งผลตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ควรจะมั่นคงและราบรื่น จึงควรระงับความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯไว้ก่อน
คำสั่งของทรัมป์ในเรื่องนี้ ให้เป็นภารกิจของ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการ โดยหารือกับสำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณ เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ ยูเสด (USAID) เป็นหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลความช่วยเหลือต่างประเทศ
ทรัมป์ต่อต้านการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศมาโดยตลอด แม้ตามข้อเท็จจริง ความช่วยเหลือเหล่านั้น มีสัดส่วนเพียง 1% ของงบประมาณรัฐบาลกลาง เว้นในกรณีไม่ปกติ เช่นการจัดหาอาวุธหลายพันดอลลาร์ให้แก่ยูเครน ซึ่งทรัมป์ก็วิจารณ์มาตลอด
ก่อนหน้านี้ รูบิโอ ตอบคำถามคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ว่า ทุกดอลลาร์ที่สหรัฐฯจ่ายไป และทุกโครงการที่ได้ทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ จะต้องตอบคำถามง่าย ๆ แค่ 3 ข้อ นั่นคือ ทำให้อเมริกาปลอดภัยหรือไม่ ทำให้อเมริกาแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ และทำให้อเมริการุ่งเรืองขึ้นหรือไม่
อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจน คำสั่งของทรัมป์ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม จะมีผลกระทบต่อความช่วยเหลือต่างประเทศในเบื้องต้นมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากรัฐสภาสหรัฐฯผ่านงบสำหรับโครงการจำนวนมากไปแล้ว และเมื่อผ่านแล้ว ก็จะต้องใช้จ่าย
รายงานการใช้จ่ายงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศหลังสุดของรัฐบาล โจ ไบเดน ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม และปีงบประมาณ 2566 พบว่า มีการจัดสรรงบ 6 หมื่น 8 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการในต่างประเทศ ตั้งแต่การบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติ โครงการส่งเสริมสุขภาพ และสนับสนุนประชาธิปไตยใน 204 ประเทศและภูมิภาค
คาดว่าประเทศที่รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯมากที่สุด อย่างอิสราเอ
ล ที่ได้รับงบช่วยเหลือ 3 พัน 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี อียิปต์ 1 พัน 500 ล้านสหรัฐฯต่อปี และจอร์แดน 1 พัน 700 ล้านดอลลาร์ต่อปี จะไม่กระทบ เพราะอยู่ในแพคเกจระยะยาวที่ต่อเนื่องมานานหลายสิบปี และบางกรณีเป็นภาระผูกพันตามสนธิสัญญา