นายกรัฐมนตรีหว่อง พูดเรื่องนี้ ในระหว่างตอบคำถามของนักศึกษา ในงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (21 มกราคม) โดยคำถามคือ สิงคโปร์จะดำเนินความสัมพันธ์กับสองมหาอำนาจของโลกอย่างไร หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นำสิงคโปร์ กล่าวว่า ตราบใดที่ไม่มีการบังคับให้ประเทศอื่น ๆ ให้ต้องเลือกข้าง สิงคโปร์จะสามารถหาหนทางจัดการได้ ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจ
นายกฯหว่อง พูดภาพรวมระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนว่า ทั้งสองแข่งขันกันเพื่อเป็นความเป็นผู้นำโลก โดยมีความไม่ไว้วางใจและคลางแคลงใจกันอย่างลงลึก แต่เชื่อว่า ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ต้องการให้เป็นสงครามหรือความขัดแย้งโดยตรง ถึงอย่างนั้น หากการแข่งขันดุเดือดขึ้น ก็น่าเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ ที่หมายถึงการตั้งกำแพงการค้ามากขึ้น หรือการตัดขาดกันทางเทคโนโลยี แต่อาจเป็นอุบัติเหตุ และการคำนวณผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในจุดร้อนของโลก อย่างทะเลจีนใต้ หรือช่องแคบไต้หวัน
ผู้นำสิงคโปร์ เตือนว่า ประเทศต่าง ๆ รวมถึงสิงคโปร์ ไม่ควรถูกบังคับให้เลือกข้าง ให้ต้องเข้าร่วมฝ่ายสหรัฐฯหรือฝ่ายจีน การทำเช่นนั้นอาจพาโลกหมิ่นเหม่สู่ “สงครามโลกครั้งที่สาม” แต่ ณ เวลานี้ ผู้นำสิงคโปร์ ยังมองว่า ความเสี่ยงที่สหรัฐจะตัดขาดจากจีน ไม่ได้สูงมากนัก เนื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯเองจะเสียหายและพลเมืองอเมริกัน จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะการผลิตและสินค้าที่นำเข้าไปให้กับประชาชนในสหรัฐฯก็มาจากจีน
นายกฯหว่อง กล่าวด้วยว่า สิงคโปร์เป็นหุ้นส่วนใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ทั้งด้านความมั่นคง ความปลอดภัยไซเบอร์ พลังงานนิวเคลียร์ และความร่วมมือด้านอวกาศ เขาเชื่อมั่นว่าสิงคโปร์จะยังสามารถกระชับความเป็นหุ้นส่วนเหล่านั้นกับสหรัฐในยุคทรัมป์ได้ต่อไป ตราบใดที่สหรัฐฯกับจีนยังสามารถบริหารจัดการการแข่งขันได้ และไม่บังคับให้ประเทศอื่นต้องเลือกข้าง ทำให้โลกแบ่งออกเป็นสองค่าย การแยกออกจากกันเช่นนี้ จะนำไปสู่หายนะ และหมิ่นเหม่สงครามโลกครั้งที่สาม