CNN และ BBC รายงานว่าเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 1 กพ.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้ลงนามคำสั่งให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และจากจีน 10% โดยให้มีผลบังคับใช้ในเวลาเที่ยงคืน 1 นาที (00.01 นาฬิกา) ของเช้ามืดวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ ยกเว้นสินค้าเกี่ยวกับพลังงานจากแคนาดาจะได้รับการลดหย่อนให้เก็บในอัตรา 10% ซึ่งมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก 3 ประเทศจะบังคับใช้ไปจนกว่าปัญหาเฟนตานิลและการลักลอบเข้าเมืองของสหรัฐจะผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตามทรัมป์ไม่ได้ระบุในรายละเอียดว่าแคนาดา, เม็กซิโกและจีนจะต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะได้รับการยกเว้นกำแพงภาษีอีกครั้ง
คำสั่งเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั้งสามประเทศซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐมีขึ้นหลังจากทรัมป์พูดขู่มาหลายครั้งตั้งแต่ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา (2567) เพื่อตอบโต้ที่เม็กซิโกและแคนาดาประสบความล้มเหลวในการควบคุมยาเฟนตานิลและสารเคมีตั้งต้นไม่ให้ทะลักเข้าสหรัฐ นอกจากนี้ยังปล่อยให้คลื่นผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ ทำให้สหรัฐต้องประกาศภาวะฉุกเฉินที่บริเวณพรมแดน
ทำเนียบขาวยังประกาศด้วยว่าถ้าแคนาดา, เม็กซิโกและจีนตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐ สหรัฐก็จะสั่งเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั้งสามประเทศให้สูงขึ้นอีก และว่าสำหรับแคนาดานั้นต่อไปนี้จะไม่ได้การยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลล่าร์สหรัฐอีกต่อไป
ทั้งนี้คาดการณ์กันว่าเม็กซิโกและแคนาดาจะใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐอย่างแน่นอน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐออกมาเตือนว่ามาตรการของทรัมป์จะทำให้สินค้าราคาสูงขึ้นในสหรัฐ, ลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐลง 1.5% ในปีนี้ และจะทำให้แคนาดาและเม็กซิโกต้องประสบกับภาวะถดถอยและเงินเฟ้อ รวมทั้งจะสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้น