ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาอาจมีโอกาสพูดคุยกับ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียในสัปดาห์นี้ เพื่อหาทางยุติสงคราม หลังจากที่ยูเครนรับข้อเสนอหยุดยิงที่สหรัฐฯเสนอ ภายหลังการประชุมคณะผู้แทนสหรัฐฯกับยูเครนที่ซาอุดีอาระเบีย ต่อข้อถามว่า แล้วสหรัฐฯจะต้อนรับ ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนกลับไปเยือนทำเนียบขาวหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า แน่นอน แม้การพบปะกันครั้งแรกจบแบบแตกคอกันรุนแรง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนคำถามถึงความเป็นไปได้ที่จะเห็นการหยุดยิงในยูเครน ทรัมป์ กล่าวว่า เขาหวังว่าจะเกิดขึ้นไม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนเสริมว่า เราจะพูดคุยครั้งสำคัญกับรัสเซียในวันพรุ่งนี้ (วันนี้ตามเวลาไทย) และหวังว่าจะเป็นการสนทนาที่ดี
ความเห็นของทรัมป์ มีขึ้นหลังจากคณะเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและยูเครน ประชุมกันรวมเป็นเวลา 9 ชั่วโมง ที่นครเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย และได้ข้อสรุปว่าสหรัฐฯตกลงจะกลับมาแชร์ข่าวกรองให้กับยูเครน จัดส่งความช่วยเหลือทางทหารที่ระงับไว้ก่อนหน้านี้ และหยุดยิง30 วัน
ผู้นำฝั่งยุโรป เช่น นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำอังกฤษ กล่าวว่า การเจรจาที่ซาอุฯ เป็นความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง ส่วน ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ชื่นชมความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในการเจรจาที่เจดดาห์ แต่ยังคงยืนยันว่า การหยุดยิงใดก็ตาม จะต้องมีหลักประกันความมั่นคงที่แข็งแกร่ง
ถึงขณะนี้ ทำเนียบเครมลินยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการออกมา ขณะที่สถาบันศึกษาสงคราม ระบุว่า บล็อกเกอร์สายทหารรัสเซีย มีปฏิกิริยาเชิงลบกับข้อเสนอหยุดยิง บล็อคเกอร์ชาตินิยมสุดโต่งรายหนึ่ง ถึงกับระบุว่าการยอมรับหยุดยิง จะเป็นการทรยศ และวินาศกรรมอย่างแท้จริง อีกคนตั้งคำถามว่า อะไรคือเป้าหมายในการตอบรับข้อเสนอหยุดยิง โดยที่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์การทำสงครามของรัสเซีย ส่วน พลโท วิคเตอร์ โซโบลอฟ รองประธานสภาดูมา ก็ค้านเช่นกัน โดยบอกว่า รัสเซียไม่ควรตกลงรับข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน เพราะจะเอื้อให้ยูเครนตั้งหลักและติดอาวุธได้
เคียฟ โพสต์ อ้างความเห็นจากสภาแอตแลนติก องค์กรคลังสมองในสหรัฐฯว่า ข้อเสนอหยุดยิงทำให้ประธานาธิบดีปูติน อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศแบบหน้ามือเป็นหลังมือของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา เพิ่มความเชื่อมั่นแก่รัสเซียว่า แนวร่วมนานาชาติที่เคยสนับสนุนยูเครนแตกคอกันแล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน ปูตินตระหนักว่า หากทำตัวเป็นอุปสรรคขวางความพยายามสร้างสันติภาพของทรัมป์ ก็อาจจะกระทบการรื้อฟื้นความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซียที่เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ทรัมป์กลับม
