30 มี.ค.68 ดร.ปรีชาพร สุวัฒโนดม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ (ผศน.) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า… “ถ้าผมจะต้องวิเคราะห์เบื้องต้น จากวิดีโอที่เห็นของตึก สตง ที่ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ จากความรู้ที่มีและเรียนมา ตรี-โท-เอก วิศวะโยธา จาก UCLA ( นักเรียนทุน) เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าน่าจะเกิดจาก

1) แกนกลางของตัวตึก ถูกยึดไว้กับตัว tower crane แล้ว เกิด failure

2) tower crane ขนาดใหญ่เหล่านี้ มีหน้าที่ ช่วยยกและวางวัสดุและอุปกรณ์หนัก ๆ ในการก่อสร้างอาคารสูง

3) การติดตั้ง tower crane บนอาคารต้องมีมาตรการและ protocal ด้านความปลอด “ต้อง”มีระบบโอเวอร์โหลด ตัวบ่งชี้โมเมนต์การโหลด ตัวบ่งชี้ความจุที่กำหนด และเครื่องวัดความเร็วลม ( ใน history ประเทศไทยมี แรงลมบ่อยครั้งกว่าแผ่นดินไหวแน่นอน )

4) tower crane เกือบทั้งหมดจะติดตั้งโดยยึดกับ แกนกลางของอาคาร ( ซึ่งน่าจะเป็นกรณีตึก สตง นี้ ส่วนแกนกลางของตึกเป็น ส่วนไหน ที่ตัว tower crane ยึดติดไว้ผมไม่แน่ใจ เลยทำให้ตึกถล่มมาแนวดิ่ง vertical ทับทับกันลงมา ไม่เอนล้มไปข้างข้าง

5) การ fail ตึก สตง ครั้งนี้ไม่น่าจะเกิดจาก เสา column buckling ที่เป็นต้นเหตุ ตั้งแต่กระดุมเม็ดที่หนึ่ง แต่อาการ column buckling นี้อาจเกิดตามมาได้ซึ่ง เป็นกระดุมเม็ดหลัง ต่อไป จากการ fail ของแกนกลางก่อน ซึ่งน่าจะเป็นการ fail อันดับแรก จึงเกิดการถล่มแนวดิง อย่างที่เห็นจากวิดีโอในภาพ

6) และก็ไม่น่าจะเกิดจาก settlement failure เพราะถ้าเกิดควรจะ fail ก่อนหน้านี้แล้ว และจากวิดีโอตอนแผ่นดินไหวเกิดอาการทรุดตัวของตึกไม่น่าจะเกิดจากเหตุผล settlement failure ( แต่ตึกหลายตึกที่หลายคนโพสต์ตอนนี้ว่าเกิดอาการรอยร้าว ในตัวตึก บริเวณกำแพง พื้น ขอบหน้าต่างรอยต่อบริเวณฝ้า ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศหรือคอนโด บางส่วน และผมคิดว่าส่วนมากเลย จะเกิดจาก settlement failure ได้ ต่อให้ อาคารก่อสร้างเสร็จมา (นาน) แล้วก็ตาม ) ตึกเลยไม่ถล่มแต่เกิดรอยร้าวเกิดขึ้น