"อ.วิชา" ชี้คดี "บอส อยู่วิทยา" ยังไม่จบ ศาลยกฟ้อง 6 จำเลยใช่ว่าพ้นมลทิน 100 %
ข่าวที่น่าสนใจ
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพาษาในคดีร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ โดยพนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร., นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 200, 83, 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172, 192
กรณีที่พวกจำเลยทั้งหมดร่วมกันกระทำผิดเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานในคดี คำให้การพยาน ความเร็วรถยนต์ฯ เพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ผู้ต้องหา เพื่อให้พ้นผิด หรือรับโทษน้อยลง จากกรณีที่นายวรยุทธขับรถซูเปอร์คาร์ เฉี่ยวชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 โดยพวกจำเลยทั้ง 8 คนให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีและได้รับการประกันตัวคนละ 200,000 บาท
ศาลพิพากษาจำคุกนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด เป็นเวลา 3 ปี และจำคุกนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส 2 ปี ตามฐานความผิดคดีอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ศาลพิจารณาว่า นายชัยณรงค์เข้าไปโดยอวดอ้างตน “ขอความกรุณาไม่ให้เกิน 80 กม./ชม. เพราะตามกฎหมายไม่ให้เกิน 80 กม./ชม.” ซึ่งทุกคนในห้องได้ยินนายชัยณรงค์กล่าวอ้างสถานะและบทบาทหน้าที่การเป็นอัยการ ซึ่งเป็นการใช้สถานะตัวเองแทรกแซงพนักงานสอบสวนไม่ให้ทำหน้าที่อิสระ เป็นการกระทำความผิดส่วนตัว
ส่วนนายเนตร ศาลพิจารณาว่าใช้อำนาจสั่งฟ้องคดีโดยมิชอบ โดยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อันมีเจตนาช่วยเหลือให้ได้รับโทษน้อยลง จากการรับฟังพยาน 2 ปากที่ได้มาให้การใหม่เรื่องความเร็วรถ ซึ่งผ่านมานานแล้ว ทำให้คำให้การของพยานไม่น่าเชื่อถือ แต่จำเลยใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ ทั้งที่ตัวเองเป็นอัยการระดับสูง ควรต้องใช้ดุลยพินิจโดยรอบคอบ
อีกทั้งศาลเห็นว่า จำเลยวินิจฉัยคดีโดยไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ทั้งที่ควรนำตัววรยุทธเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้องค์กรอัยการเสียหาย นอกจากนี้ศาลได้ออกหมายขังในระหว่างอุทธรณ์ไว้ด้วย เว้นแต่ยื่นประกันตัว
ส่วนจำเลยอีก 6 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ, พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผอ.กองพิสูจน์หลักฐานกลาง, พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี ขณะนั้นมีตำแหน่งพนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ, นายธนิต บัวเขียว, นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ และ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม นักฟิสิกส์ อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ ม.เทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ศาลฯ พิพากษายกฟ้องนั้น
ล่าสุดวันนี้ (23 เม.ย.) รายการจับตาประเทศไทย ทางช่อง Top News ดำเนินรายการโดย คุณสำราญ รอดเพชร และคุณอุบลรัตน์ เถาว์น้อย ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.20-12.05 น. ได้สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตคณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในขณะนั้น ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 225/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และกรณีคดี”บอส อยู่วิทยา” เป็นหนึ่งคดีที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวหยิบยกมาพิจารณา เนื่องจากพนักงานอัยการมีคําสั่งไม่ฟ้อง
โดยอ.วิชา ได้อธิบายถึงประเด็นการพิพากษาให้จำคุก จำเลย 2 คน และ ยกฟ้องจำเลย 6 คน รวม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผบ.ตร. ระบุว่า การตัดสินของศาลก็ต้องน้อมรับ ท่านก็ได้ตัดสินอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่ได้ทำแบบขอไปที เป็เนการตัดสินตามหลักของคดี ที่มีการปรับปรุงหลักกฎหมาย ม.157 การปฏิบัติมิชอบของเจ้าหน้าที่ ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์พวกพ้องในการทำความผิด จึงทำให้อดีตอัยการทั้ง 2 ต้องถูกตัดสินจำคุก หลังจากนี้คดีต้องไปต่อยังศาลอุทธรณ์ คดีชำนาญการพิเศษ มองว่าสุดท้ายจะไปถึงศาลฎีกาด้วยแน่นอน เพราะต้องมีบางท่านเห็นแย้งกับกรณียกฟ้อง เพราะมองแล้ว จะเข้าทำนองทฤษฎีสมคบคิด มีการร่วมวางแผนช่วยเหลือกัน วางแผนมาตั้งแต่ตน ศาลได้อธิบายละเอียดมาก
เมื่อถามว่า จำเลยที่รอด ศาลยกฟ้องนั้น จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ อ.วิชา มองว่า การที่ศาลยกฟ้องไม่ได้หมายความว่าจะเดินสะดวกแล้ว ยังเหลืออีก ศาลอุทธรณ์ด้วย เชื่อว่าอาจจะมีผู้ตัดสินบางท่านเห็นแย้ง มันยังไม่ครบถ้วนตามกระบวนการ อาจจะยังไม่ได้พ้นมลทิน 100 %
รับชมรายการจับตาประเทศไทย ทางช่อง Top News (คลิกที่นี่)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง