“อัษฎางค์” ชี้ชัด พฤติกรรม “กมธ.การทหาร” ใช้อำนาจ ป้องคดี 112 เข้าข่ายละเมิดกม.จริยธรรมอย่างร้ายแรง

"อัษฎางค์" ชี้ชัด พฤติกรรม "กมธ.การทหาร" ใช้อำนาจ ป้องคดี 112 เข้าข่ายละเมิดกม.จริยธรรมอย่างร้ายแรง

“อัษฎางค์” ชี้ชัด พฤติกรรม “กมธ.การทหาร” ใช้อำนาจ ป้องคดี 112 เข้าข่ายละเมิดกม.จริยธรรมอย่างร้ายแรง

 

 

สืบเนื่องจากกรณีที่พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงถึงกรณีผลจากการประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 24 เมษายน 2568 วาระพิจารณาศึกษา เรื่อง กอ.รมน.ภาค 3 ไปแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) นักวิชาการชาวอเมริกัน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจากที่ได้ติดตามผลของการประชุมพบว่า อาจมีรายละเอียดบางอย่างที่ผู้แทนหน่วยที่เข้าร่วมประชุมอาจนำเสนอไม่ครบ จึงขอเรียนเพิ่มเติมให้ดังนี้

 

เรื่องข้อสงสัยว่า กอ.รมน.ภาค 3 ใช้อำนาจอะไรไปแจ้งความ

พล.ต. วินธัย ชี้แจงว่า การไปแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เมื่อพบเห็นว่าอาจมีการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนทั่วไปสามารถทำได้ ต่างจากการไปขอจับกุมผู้กระทำความผิดที่จำเป็นต้องอ้างใช้อำนาจตามกฎหมายในกรณีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นความผิดต่อแผ่นดิน ใครที่พบเห็นข้อความที่มีลักษณะเข้าข่ายทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในลักษณะดูหมิ่นสถาบันฯ ก็สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้นำเข้าสู่กระบวนการทางศาลเพื่อพิจารณาได้ โดยผู้ถูกกล่าวหาจะสามารถพิสูจน์ตัวเอง แก้ต่างข้อกล่าวหาได้ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม

 

การดำเนินการต่อกรณีนี้

เริ่มจากได้รับแจ้งจากประชาชน กอ.รมน.ภาค 3 จึงได้มีการติดตามตรวจสอบ และนำเข้ากระบวนการพิจารณาของหน่วย พบว่ามีพฤติกรรมใช้ความรู้สึกส่วนตัวตีความและกระจายไปยังบุคคลภายนอก อันมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงได้ทำหนังสือร้องทุกข์ดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยต่อไป ซึ่งปัจจุบันอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน

 

สำหรับข้อกังวลเนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาวต่างประเทศนั้น กฎหมายของประเทศนั้นย่อมสามารถใช้บังคับได้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศนั้นตามหลักสากล ไม่มีประเทศไหนในโลกจะมีข้อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายให้กับคนสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติตัวเอง ซึ่งหากผู้ถูกแจ้งความคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถใช้ช่องทางของกฎหมายมาดำเนินการผู้แจ้งความได้

ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ วันนั้นพบว่า มีภาพบรรยากาศที่อาจดูน่ากังวลเนื่องด้วยมีบางคนมีการใช้คำพูดในลักษณะดูหมิ่น เสียดสีผู้เข้าร่วมประชุม เช่น “โง่แต่ขยัน ลุแก่อำนาจ ไร้สติปัญญา และขาดทักษะ ภาษาอังกฤษ”

พล.ต. วินธัย ชี้แจงว่า เนื่องจากรายละเอียดประกอบข้อมูลการฟ้องอยู่ในระบบของกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว ซึ่งการจะเปิดเผยคงทำได้แบบจำกัด ส่วนการโต้แย้งผ่านการประชุมฯ ไม่น่าส่งผลต่อรูปคดีจริง เนื้อหาที่นำมายกตัวอย่างมาพูดโต้แย้งกันในที่ประชุม ก็อาจไม่อยู่ในประเด็นหลักการฟ้องในครั้งนี้

 

“แต่กลับพบว่าถูกนำมาเป็นประเด็นเพื่อใช้เหยียดหยาม ประจานด้อยค่าบุคคลและองค์กร อยู่หลายคำหลายประโยค เช่น โง่แต่ขยัน ลุแก่อำนาจ ไร้สติปัญญา หรือเป็นหน่วยงานดักดาน ทั้งหมดเหล่านี้ขอให้ทางองค์กรที่รับผิดชอบหรือสังคมเป็นผู้พิจารณา”

 

พล.ต. วินธัย ชี้แจงกรณีที่มีหลายความเห็นกล่าวถึงการใช้เวทีกลไกสภานี้ เพื่อพยายามปกป้องช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดหรือไม่ เช่น ชี้แจงว่าข้อความที่เป็นประเด็นนั้น ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เขียนเอง พร้อมได้ยกตัวอย่างว่า เพราะเขาใช้คำสรรพนามภาษาอังกฤษว่า he ไม่ได้ใช้คำว่า I ซึ่งกรณีนี้ คณะกรรมาธิการอาจเข้าใจว่าประเด็นปัญหาที่ถูกนำไปแจ้งความคือตรงนี้ จึงมุ่งมาช่วยเหลือพยายามแก้ต่างให้ผ่านเวทีประชุมนี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ เพราะข้อมูลที่เป็นประเด็นปัญหานำไปสู่การฟ้องร้องทางคดีนั้นอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว ทำให้ประเด็นที่นำเอาไปถกเถียงในวันนั้น อาจไม่ใช่ประเด็นหลักที่ใช้ประกอบการฟ้องร้องครั้งนี้ก็ได้

“ซึ่งจากการที่ประธานที่ประชุมได้ไปพูดฟันธงต่อสาธารณะในทำนองประจานให้มีผลต่อภาพลักษณ์บุคคลและหน่วยงานนั้น เป็นเรื่องที่สังคมต้องเป็นผู้พิจารณา ซึ่งอาจต้องไปดูในระเบียบ และมารยาทวิธีการปฏิบัติในการประชุม”

 

กรณีมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 พล.ต. วินธัย ชี้แจงว่า ปกติกลไกนี้มีไว้สำหรับการเสนอจัดทำแผนงานเพื่อใช้บริหารจัดการแก้ไขปัญหาความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน และอาจต้องอาศัยหลายหน่วยงานมาร่วมแก้ จึงมีขั้นตอนต่าง ๆ ไปให้ฝ่ายบริหารอนุมัติ เพื่อนำไปประกอบกับกลไกของกฎหมายตาม มาตรา 15 เพื่อใช้แก้ไขปัญหาความมั่นคงนั้น ๆ ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกรณีคดีของ พอล แชมเบอร์ส เป็นคดีอาญาปกติ ไม่ใช่การเสนอแผนเพื่อจะขออนุมัตินำไปใช้แก้ปัญหาความมั่นคง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่มี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน เป็นประธาน ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้แทน กอ.รมน.ภาค 3 ชี้แจงกรณีการแจ้งข้อหา มาตรา 112 ต่อ พอล แชมเบอร์ส

 

โดยตัวแทน กอ.รมน.ภาค 3 ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า นำข้อมูลประกอบการแจ้งความมาจากโพสต์เฟซบุ๊กของประชาชน และใช้อำนาจตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซึ่งที่ประชุมแย้งว่าการดำเนินการแจ้งความควรต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อน

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :  “โฆษก ทบ.” โต้ กมธ.ทหาร ยันมีอำนาจแจ้งจับ “พอล แชมเบอร์ส” คดี ม.112 ลั่นชาวต่างชาติ ต้องอยู่ใต้กม.ไทย

“โฆษก ทบ.” โต้ กมธ.ทหาร ยันมีอำนาจแจ้งจับ “พอล แชมเบอร์ส” คดี ม.112 ลั่นชาวต่างชาติ ต้องอยู่ใต้กม.ไทย

ข่าวที่น่าสนใจ

ล่าสุดวันนี้ (29 เม.ย.) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความว่า พฤติกรรมของคณะกรรมาธิการการทหาร ที่อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายและจริยธรรมอย่างร้ายแรง

 

จากการติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พบว่ามีการกระทำที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายและละเมิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงในหลายประเด็น ดังนี้

ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

มีการดำเนินการประชุมโดยไม่ชอบ เช่น มอบหมายให้ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทำหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรรมาธิการโดยตรงเท่านั้น

ผิดข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ประธานคณะกรรมาธิการทำหน้าที่ชี้นำ และสรุปผลการประชุมเอง โดยไม่ได้มาจากการอภิปรายหรือพิจารณาจากรรมาธิการทั้งคณะ สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมเกือบทั้งหมดมาจากพรรคการเมืองเดียวกัน ขาดความเป็นกลางทางการเมือง

ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต

ก้าวก่ายอำนาจตุลาการ โดยตัดสินชี้ขาดด้วยตนเองว่าการดำเนินคดีเป็นการฟ้องเท็จ และเสนอเรื่องต่อ ป.ป.ช. ทั้งที่หน้าที่ดังกล่าวอยู่ในอำนาจของศาล ไม่ใช่คณะกรรมาธิการ

ข้อสังเกตสำคัญ

พฤติการณ์เหล่านี้ ไม่ใช่เพียงการผิดขั้นตอนธรรมดา แต่สะท้อนให้เห็นถึงการบิดเบือนบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และอาจเข้าข่ายละเมิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งบ่อนทำลายหลักนิติธรรม และลดทอนความน่าเชื่อถือของสภาผู้แทนราษฎรในสายตาประชาชน

ประเด็นนี้ประชาชนควรจับตาอย่างใกล้ชิด:

เพื่อปกป้องหลักการประชาธิปไตย และให้การใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติดำเนินไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

มาแน่ “กรมอุตุฯ” ประกาศฉบับ 12 เตือนระวังอันตราย "พายุฤดูร้อน" พัดถล่ม จว.ที่ไหนบ้างเช็กเลย
ฝนตกหนัก "อนุทิน" กำชับ "ผู้ว่าฯ เชียงราย" ติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำสายใกล้ชิด
"รมว.สุดาวรรณ" นำชมนิทรรศการ สาธิตวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมโดดเด่นชาวนครพนม ชูเส้นทางตามรอยศรัทธาธรรม 7 วันสักการะ 8 พระธาตุประจำวันเกิด
"สรรเพชญ" ผนึก "สุพิศ" นายกอบจ.สงขลา ร่วมขับเคลื่อนพัฒนาท้องถิ่นทุกมิติ มั่นใจยกระดับคุณภาพชีวิตปชช.
"นฤมล" ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนลิ้นจี่ นครพนม ชื่นชมสร้างมูลค่าส่งออก ยันพร้อมหนุนทุกปัจจัย ดูแลผลไม้ไทย
สส.สัตหีบ เร่งประสานอีสวอเตอร์ แก้ไขปัญหาท่อน้ำประปาแตกบ่อย น้ำไหลเบา เพิ่มแรงดันน้ำพื้นที่โซนสูง
"ศุภมาส" เดินหน้าขับเคลื่อน Soft Power จัดแข่งวาดภาพ Thai Youth Street Art รุดให้กำลังใจ 6 สถาบัน เข้าประชันฝีมือ
สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จัดกิจกรรมคลายร้อนให้สัตว์ ด้วยหวานเย็นผลไม้ พร้อมเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมธรรมชาติ
"สมศักดิ์" ให้กำลังใจทีมแพทย์- พยาบาล รพ.บึงกาฬ พร้อมเปิดห้องรับฟังความเห็น หลังเกิดปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน
กรรมการ บ.ไมนฮาร์ทฯ ผู้รับออกแบบตึกสตง. ให้ข้อมูลดีเอสไอ รับมีการสั่งแก้แปลนอาคาร ผนังปล่องลิฟท์ พร้อมร่วมมือให้ทุกอย่าง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น