สภากาชาดไทย ออกชี้แจง หลังโดนกล่าวหาค้ากำไร!

สภากาชาดไทย ออกชี้แจง หลังโดนกล่าวหาค้ากำไร!

จากกรณีที่มีสื่อมวลชนได้เสนอข่าว เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 โดยอ้างอิงข้อความในเฟซบุ๊กของผู้ใช้นาม Sarinee Achavanuntakul – สฤณี อาชวานันทกุล ซึ่งเขียนข้อความทำนองว่าสภากาชาดไทย ใช้เงินของตัวเองจองโควต้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โมเดอร์นา ผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อนำมาขายต่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศ นั้น ข้อความและข่าวดังกล่าวอาจก่อให้ให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อการดำเนินงานของสภากาชาดไทย
สภากาชาดไทยจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

1. สภากาชาดไทยเป็นองค์กรการกุศลที่มีรายได้เป็นเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชนและได้รับเงินงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสภากาชาดไทยไม่ได้เป็นหน่วยงานภาครัฐโดยตรง

2. เดือนเมษายน 2564 ท่ามกลางสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่มีการระบาดรุนแรงมากขึ้น สภากาชาดไทยได้ริเริ่มจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนโดยได้ติดต่อกับหน่วยงานกาชาดในต่างประเทศ และบริษัทผู้จำหน่ายวัคซีนเพื่อจัดหาหรือขอซื้อวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนตามภารกิจของสภากาชาดไทย

3. ผลการประสานงานกับ บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายวัคซีนโมเดอร์นาในประเทศไทย ได้ตกลงจะขายวัคซีน จำนวน 1 ล้านโดส ให้แก่สภากาชาดไทยแต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องซื้อผ่านหน่วยงานของรัฐ คือ องค์การเภสัชกรรม จึงจะขายให้ได้เพราะเป็นนโยบายของบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกา
4. องค์การเภสัชกรรมได้คิดราคาขายวัคซีนให้แก่สภากาชาดไทย จำนวน 1 ล้านโดส ในราคาโดสละ 1,100 บาท โดยสภากาชาดไทยได้ใช้งบประมาณของสภากาชาดไทย ในการสั่งซื้อวัคซีนดังกล่าว จำนวน 100,000 โดส เพื่อมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทยไปบริการฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งได้เชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จำนวน 12 แห่ง ร่วมซื้อด้วย รวมจำนวน 150,000 โดส นอกจากนี้ สภากาชาดไทยได้เชิญชวนให้อบจ. ทั้ง 76 จังหวัด มาร่วมกับสภากาชาดไทยในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัดโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งปรากฏว่ามี อบจ. จำนวน 38 จังหวัด แสดงความจำนงขอร่วมกับสภากาชาดไทยในการซื้อวัคซีนจำนวน 750,000 โดส จากองค์การเภสัชกรรมผ่านสภากาชาดไทย โดยไม่มี อบต. เข้าร่วมโครงการนี้
5. สภากาชาดไทยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดหาวัคซีนให้หน่วยงานในสังกัดและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงเรียนแพทย์ และ อบจ. จำนวน 38 จังหวัด เพื่อนำวัคซีน รวม 1 ล้านโดส มาฉีดให้กับประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนำวัคซีนมาขายต่อโดยเรียกเก็บเงินค่าวัคซีน Moderna เกินกว่าราคาโดสละ 1,100 บาท ที่ซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรมแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้สภากาชาดไทยได้ประกาศเปิดเผยต่อสาธารณชนมาตลอด สามารถตรวจสอบราคาที่สภากาชาดไทยซื้อได้จากองค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรม และ บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด แจ้งว่าจะเริ่มทยอยส่งวัคซีนให้สภากาชาดไทยและหน่วยงานต่างๆ ได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป

6. ในเดือนมิถุนายน 2564 ศูนย์บริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.ทำเนียบรัฐบาล ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานด้านการแพทย์ซึ่งรวมถึงสภากาชาดไทยด้วยให้เร่งรัดจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สภากาชาดไทยจึงได้มีหนังสือถึงรัฐบาลขอรับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนให้แก่สภากาชาดไทยจำนวน 946 ล้านบาท เพื่อนำไปจองซื้อวัคซีนโมเดอร์นารุ่นใหม่ ในปี 2565 จำนวน 1 ล้านโดส โดยมีแผนดำเนินงานเพื่อนำวัคซีนมาให้หน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทย นำไปฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าเช่นกัน

ดังนั้น การจัดหาวัคซีนของสภากาชาดไทย ทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการแรก จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งใช้งบประมาณของสภากาชาดไทย หน่วยงานทางการแพทย์ และ อบจ. ในการจัดซื้อวัคซีนซึ่งจะเริ่มฉีดให้แก่ประชาชนในปี 2564 เป็นต้นไป และโครงการที่ 2 จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งใช้งบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลนั้น จะนำไปฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าในปี 2565 จึงไม่ได้เป็นการนำวัคซีนดังกล่าวไปแสวงหากำไรด้วยการนำไปขายต่อให้แก่ อบจ. หรือองค์กรใด ๆ ในราคาสูงกว่าต้นทุนที่สภากาชาดไทยจ่ายให้แก่องค์การเภสัชกรรมแต่อย่างใด
จึงเห็นได้ว่าสภากาชาดไทยได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งสภากาชาดไทยยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการใช้งบประมาณของสภากาชาดไทยในการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค ที่เรียกว่า ชุดธารน้ำใจสภากาชาดไทย ไปมอบให้กับประชาชนที่มีรายได้ไม่เพียงพอและต้องกักตนเองที่บ้านพัก หรือที่ทางราชการจัดสถานที่ไว้ให้พักเป็นเวลา 14 วัน (local and state quarantine) ตั้งแต่การระบาดรอบเเรก เมื่อเดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ผ่านเหล่ากาชาดจังหวัดทั่วประเทศ รวมมูลค่ากว่า 250 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา สภากาชาดไทยยังได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันแห่งชาติ (สปสช.) หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชนจัดทำโครงการให้คำปรึกษาด้านการรักษาพยาบาลผ่านระบบโทรศัพท์ (telemedicine) ให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการไม่รุนแรงซึ่งพักอยู่ที่บ้าน (home isolation) รวมทั้งจัดบริการส่งยาฟาร์วิพิราเวียร์และอาหารให้แก่ผู้ป่วยดังกล่าวแล้วไม่น้อยกว่า 16,000 ราย

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ณฐพร” ยื่นป.ป.ช.สอบ “2 บิ๊กมท.” ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปมเอกสารสิทธิเขากระโดง
“ศุภมาส” นำอว.จัดเต็ม นิทรรศการ One Stop Open House 2024 สร้างอนาคตการศึกษา เพิ่มโอกาสอนาคตเยาวชนไทย
"กห." ขีดเส้นตาย ซ้อมทรมาน "ทหารเกณฑ์" เป็นศูนย์ ออกกฎเหล็กตั้งเป้าไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ชาวบ้านแจ้งเบาะแส ชายคลั่ง กราดยิงหนองบัวลำภู ดับ 4 ศพ  ตร.เร่งปูพรมล่าตัวกลางป่าทึบ
"นายกฯ" สั่งศปช.เร่งแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ด่วน 
เปิดคลิปสุดน่ารัก “น้องเอวา” ดาวเด่นแห่งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เล่นน้ำชุ่มฉ่ำ
“ดร.ปณิธาน” ชี้ทางแก้ 3 ระดับ ปม “ว้าแดง” แนะรัฐบาลต้องตัดสินใจให้ดี
กห.ยันเฟกนิวส์ ตั้งปืนใหญ่โต้ว้าแดง ย้ำสถานการณ์ไม่มีอะไร ใช้วิธีเจรจา
"ภูมิธรรม" ไม่รับปากเอาเรือดำน้ำ ขอศึกษาให้ชัด ยึดผลประโยชน์กองทัพ-ทำให้ปชชเข้าใจ
"พิพัฒน์" ห่วงสถานการณ์น้ำท่วมใต้ สั่ง "5 เสือ แรงงาน" เร่งช่วยผู้ประสบภัย

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น