หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข เริ่มปูพรหมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กที่มีอายุ12-18 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ปกครองแสดงความประสงค์ให้บุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนกว่า 3.6 ล้านราย จากนักเรียนกว่า 5 ล้านรายทั่วประเทศ
ล่าสุดวันที่10 ต.ค. 2564 ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ได้เข้าไปพูดคุยกับนพ.เฉวตสรร นามวาท ผอ. กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค ถึงการสร้างความมั่นใจในการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก โดยนพ.เฉวตสรร กล่าวว่า วัคซีนที่มีมานานแล้วคือวัคซีนเชื้อตาย ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และไม่มีผลในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว ส่วนวัคซีนเชื้อเป็น คือการนำไวรัสที่เป็นพาหะแต่ไม่ก่อโรคในคน และนำสารพันธุกรรมของเชื้อโควิดมาใส่ในไวรัสเชื้อเป็น เพื่อฉีดเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต้านเชื้อโควิดได้
ซึ่งการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก ไม่ต่างกับผู้ใหญ่ เพราะท้ายที่สุดระบบภูมิคุ้มกันจะถูกสร้างขึ้นหลังได้รับวัคซีน เพียงแต่เด็กเล็กที่มีการพัฒนาการต่อเนื่อง จะมีระบบการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า แต่ความแข็งแรงของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนจะมีความแข็งแรงมากกว่าเด็กเล็ก อีกทั้งวัคซีน mRNA จะพบว่าเด็กและวัยรุ่นผู้ชาย จะมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงเรื่องกล้ามเนื้อและเยื่อหัวใจอักเสบได้สูงสุด แต่ก็ยังไม่มีความเสี่ยงในระดับที่น่ากังวล เพราะมีทางรักษาให้หายได้ แต่จะต้องเฝ้าระวังหลังฉีดวัคซีน ซึ่งจะมีอาการเหมือนกับผู้ใหญ่คือ ปวดกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดศีรษะ วิงเวียน ซึ่งเป็นเป็นอาการทั่วไป แต่อาการที่จะต้องเฝ้าระวังคือ ใจสั่น แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม นั่นอาจเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ ภายใน 5 วันหลังรับวัคซีน ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที
แต่อย่างไรก็ตามวัคซีนที่ประเทศไทยได้รับ เป็นวัคซีนที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากกรมอนามัยโลก จึงไม่ต้องกังวล หากมีข่าวลือถึงอันตรายหรือผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน อย่างเพิ่งหลงเชื้อ และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการ เพราะวัคซีนมีประโยชน์มากกว่า ทั้งการลดความเสี่ยงในครอบครัว เพื่อน เพราะการฉีดวัคซีน ถือเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี