นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงเปิดเผยตัวเลขการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19ว่า วานนี้ฉีดเพิ่มขึ้น 915,956 โดส ทำให้ยอดฉีดวัคซีนสะสมอยู่ที่ 68,503,058 โดส เข็มที่ 1 คิดเป็น 54.2% ของประชากร เข็มที่ 2 คิดเป็น 38% ของประชากร ตามแผนเดิมเราวางไว้จะฉีดวัคซีนให้ได้ภายในสิ้นปีนี้จำนวน 70 ล้านโดส คาดว่าสัปดาห์หน้าก็จะเกินเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายกำหนดให้ฉีดวัคซีนครอบคลุมมากขึ้นให้ได้ 100 ล้านโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เชื่อว่าหากเราร่วมมือร่วมใจกัน เในเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคม เราน่าจะฉีดวัคซีนได้ตามที่กำหนด
สำหรับพื้นที่สีฟ้าซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัดที่ได้เปิดนำร่องไปก่อนหน้านี้ สามารถฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ส่วนระยะถัดไปอีก15-16 จังหวัด ขณะนี้การฉีดวัคซีนครอบคลุม 70% ของประชากรแล้ว อย่างรไรก็ตามจังหวัดกลุ่มนี้ยังมีผู้ไม่ได้รับวัคซีนอีกประมาณ 6 แสนกว่าคน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ส่งวัคซีนลงไป เพื่อให้พื้นที่ฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม พร้อมที่จะเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
ส่วนผลการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรควานนี้ นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า การพิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์เด็กนักเรียน ขณะนี้ผ่านไป 2 สัปดาห์ ฉีดไปแล้วประมาณ 2 ล้านโดส ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ คณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแล้วพบว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่เรานำมาฉีดเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็ม จะมีระดับภูมิคุ้มกันเพียงพอต่อต้านยสาพันธุ์เดลต้าได้ หากเทียบกับผลการฉีดเข็ม 1 ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็มที่ 2 แก่เด็นนักเรียนผู้ชายต่อไป ส่วนความปลอดภัย พบว่ามีเด็กเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบน้อยกว่า 10 ราย จากการที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วกว่า 2 ล้านคน โดยทุกรายมีอาการไม่รุนแรง และรักษาหายเป็นปกติเกือบทั้งหมด อีกทั้งยังต่ำกว่าในต่างประเทศ และต่ำกว่าเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19