เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว “Top News” เรื่อง แถลงการณ์องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) โดยคณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ว่า การที่อบจ.แถลงจะไม่ขออัญเชิญพระเกี้ยวในงานบอลประเพณีจุฬา- ธรรมศาสตร์ จริงๆแล้ว กิจกรรมอัญเชิญพระเกี้ยวและธรรมจักรเพิ่งมีมาในภายหลัง แรกเริ่มมีแต่การเตะฟุตบอล กิจกรรมเชียร์เพิ่งมีเพิ่มเติมในภายหลัง และทำให้โอ่อ่าสมเกียรติของมหาวิทยาลัยชั้นนำ จะไม่มีกิจกรรมอัญเชิญพระเกี้ยวก็ไม่ใช่ประเด็น แต่อย่ามาดึงและใช้วาทะกรรมด้อยค่าพระเกี้ยวซึ่งเป็นของสูง
นายนันทิวัฒน์ กล่าวต่อว่า พระเกี้ยวเป็นเครื่องสูง ประดับบนพระเกศาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ในช่วงที่ยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ และพระนามาภิไธยของพระจุลจอมเกล้า ทรงมีความหมายว่า พระจอมเกล้าน้อย หรือจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์ได้ขอพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระเกี้ยวเป็นตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งนิสิตจุฬาทุกรุ่นและประชาชนทั่วไปต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระปิยมหาราชมีต่อชาวจุฬาและคนไทยทั้งประเทศ หากไม่มีพระองค์ท่าน ไทยคงเป็นขี้ข้า เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งมังค่า ทรงเลิกทาสโดยสันติไม่มีสงครามกลางเมือง ไม่มีการสู้รบระหว่างนายทาส เจ้าและทาส ทรงดำริสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์สูงส่งเกินกว่าที่เด็กรุ่นหลังจะมาด้อยค่าและออกแถลงกรณ์ในวันที่ที่คนไทยทั้งประเทศรำลึกในวันเสด็จสวรรคตของพระปิยมหาราช
“คนที่ไม่รู้สำนึกในบุญคุณ ความดีของผู้มีพระคุณ ลืมรากเหง้า ทำอะไรก็ไม่เจริญ การเห่อตะวันตกการหลงว่า คิดแบบฝรั่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็เหมือนตกเป็นทาสความคิดของฝรั่ง ลืมประเพณีอันดีงามของสังคม จ้องแต่จะล้มล้างวัฒนธรรมประเพณีที่คนไทยเชื่อถือ ผิดหวังและเสียใจผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ไม่รู้สึกเจ็บร้อน ไม่ออกมาทำอะไรในการปกป้องชื่อเสียง พระเกียรติคุณของพระผู้พระราชทานกำเนิดมหาวิทยาลัย” นายนันทิวัฒน์ กล่าว