ศาสตราจารย์กิตติคุณสุรพล วิรุฬห์รักษ์ อุปนายกราชบัณฑิตยสภา ในฐานะศิษย์เก่ารวมถึงเป็นอดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ โดยศาสตราจารย์กิตติคุณสุรพล ระบุว่า ผมสดับตรับฟังเรื่องนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งยกเลิกขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาธรรมศาสตร์ปี๒๕๖๔นี้ โดยอ้างว่ามันเป็นการสำแดงรูปแบบของอำนาจเก่า ต้องเกณฑ์คนมาแบกหาม แสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ ผมจึงใคร่ขอให้เราท่านพิจารณาเรื่องนี้ให้สุขุมรอบคอบ
ประการที่ 1 พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์สมเด็จพระปิยมหาราชรัชกาลที่ 5
ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้เป็นตราของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้พวกเราชาวจุฬาฯอันเป็นประชาชนคนธรรมดาได้มีโอกาสเล่าเรียนเสมอหน้ากันสนองพระราชปณิธานของพระราชบิดา ซึ่งแต่เดิมจำกัดเฉพาะลูกขุนนาง
ประการที่ 2 รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกระบบไพร่ ซึ่งการยกเลิกระบบไพร่ให้เป็นไทแก่ตัว ก็เท่ากับทรงขัดผลประโยชน์เจ้านายขุนนางทั้งแผ่นดิน แต่เพื่อความเสมอภาคของราษฎร พระองค์ก็ทรงเสี่ยงกับเสถียรภาพของราชบัลลังก์
ประการที่ 3 รัชกาลที่ 5 ทรงเลิกทาส ในช่วงเวลาเดียวกับการเลิกไพร่ โดยไม่มีผู้ใดเดินขบวนเรียกร้อง แต่พระองค์ทรงเห็นว่าระบบทาสเป็นความป่าเถื่อน จึงทรงเลิกระบบทาสที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ทาสและไพร่จึงได้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์เท่าเทียมกันทั้งแผ่นดิน
ประการที่ 4 พระองค์ทรงยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินจากระบบจตุสดมถ์ หรือ สี่แท่งคือ เวียง วัง คลัง นา ที่มีมาแต่ครั้งก่อนพระบรมไตรโลกนาถในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แล้วทรงสถาปนาระบบราชการเป็นกระทรวงทบวงกรม อันเป็นการกระจายพระราชอำนาจ และเปิดโอกาสให้ไพร่ทาสราษฏรทั้งปวงได้รับราชการ มีรายได้ มีเกียรติยศ อีกทั้งทรงออก พรบ.เกณฑ์ทหาร๒ปีแล้วปลดออกไปทำงานอาชีพมีรายได้ของตน
ประการที่ 5 รัชกาลที่ 5 ทรงเอาชีวิตเกียรติยศและพระราชทรัพย์ของพระราชวงศ์เป็นเดิมพัน ทรงตัดพระทัยยอมสละดินแดน ครึ่งหนึ่งของประเทศเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเอาไว้ เพื่อมิให้อังกฤษและฝรั่งเศสฉีกประเทศไทยออกเป็นสองเสี่ยงตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา
ทรงไปเจรจาหามิตรภาพกับนานาประเทศไกลถึงรัสเซีย และนอร์เวย์ ที่หนาวเหน็บนานถึงแปดเดือน เพื่อเอามิตรไมตรีมาช่วยค้ำจุนบ้านเมืองที่กำลังล่อแหลมต่อการตกเป็นเมืองขึ้น
ประการที่ 6 ทรงให้เลิกหมอบคลาน ทรงนิยมเสด็จประพาสต้นแบบสามัญชนไปเยี่ยมเยียนพบปะพูดจาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับราษฎรใกล้ไกล และทรงนับไว้เป็นพระสหาย แม้เสด็จไปขึ้นรถรางแล้วถูกนายตั๋วไล่ลงเพราะไม่มีเงินค่าโดยสาร ก็เสด็จลงแต่โดยดี พฤติกรรมเหล่านี้คือ จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้มีความเท่าเทียมอยู่ในพระกมลสันดาน
ดังนั้น “พระเกี้ยว” จึงไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย ที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานไว้เมื่อเมืองไทยยังไม่มีประชาธิปไตย เป็นสัญลักษณ์ของอุดมการณ์แห่งการอุทิศชีวิต ต่อสู้แสวงหา เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาค ดังนั้นการอัญเชิญพระเกี่ยวไม่ใช่เพียงการประกาศเกียรติภูมิจุฬาฯ แต่เป็นการประกาศว่า เราคนไทยจักธำรงความเป็นคนที่มีกตัญญูกตเวที พร้อมใจกันยึดถือพระราชมรดก ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ สิ่งนี้เป็นอุดมคติร่วมแรงร่วมใจกันทำนุบพรุงนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคต อย่าหวังเลยว่าเราจะหวั่นไหวที่ไม่มีแห่พระเกี้ยว เพราะพระเกี้ยวสถิตอยู่ในจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกันของเราเสมอ
ศาสตราจารย์กิตติคุณสุรพล ทิ้งท้ายด้วยว่า จากเด็กกำพร้ายากจนคนเกิดกลางสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ดีมีอนาคตมาถึงจุดนี้ ก็เพราะโอกาสแห่งความเท่าเทียมที่ทรงพระราชทานไว้