31 ตุลาคม 2564 หลังจากที่ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ไลฟ์สดประกาศเตรียมสละสมณเพศ เนื่องจากเป็นต้นเหตุทำให้ พระราชปัญญาสุธี รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลายแง่มุม โดยชาวเน็ตรายหนึ่งระบุ “เรื่องการคาดหวังต่อยศตำแหน่ง เมื่อผิดหวังแล้วก็เสียอกเสียใจนั้น…เรื่องนี้มันธรรมดามากๆสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับสถานภาพพระสงฆ์แล้ว…การแสดงออกถึงความเสียใจต่อความผิดหวังเรื่องยศตำแหน่ง ถึงขนาดร่ำไห้ออกมา…ขออนุญาตแสดงความเห็นว่า นั่นไม่ใช่มาตรฐานที่ “พระดี” ควรปฏิบัติ”
“อาตมาไม่รู้ว่าเป็นบทความของใครนะ แต่อาตมาขออนุญาตแลกเปลี่ยน ประเด็นแรก คืออาตมาไม่ได้ร่ำไห้เพราะผิดหวังเสียใจเรื่องยศตำแหน่ง
ใครก็ตามที่พูดแบบนี้แสดงว่า แม้แต่ความอดทนที่จะนั่งฟังไลฟ์สดที่เป็นประเด็นของอาตมาจนจบ ก็ยังทำไม่ได้เลย
เมื่อฟังไม่จบ ก็เป็นแบบที่เห็น คือนั่งเทียนเขียนวิจารณ์ไปเอง ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างคนละเรื่องกัน
ประเด็นที่สอง ใครก็ตามที่มองเรื่องยศตำแหน่งในวงการคณะสงฆ์เป็นแค่เรื่องยศตำแหน่ง คนๆ นั้นสะท้อนความตื้นเขินของตัวเองที่มีต่อความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก
ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ เพราะยศตำแหน่งในทางคณะสงฆ์มันมิใช่เพียงแค่ยศตำแหน่ง มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันผูกพันกับอำนาจในการปกครอง อำนาจในการให้คุณและให้โทษกับผู้ที่อยู่ใต้อาณัติของยศตำแหน่งนั้นๆ อย่างแยกไม่ออก
ที่สำคัญที่สุด แม้เพียงตำแหน่งในฐานะของเจ้าอาวาส หากมิได้พระภิกษุผู้ที่เป็นรัตตัญญู หรือมีพรหมวิหารธรรมอย่างมากพอในการจัดการดูแล ไม่ได้ผู้ซึ่งมีที่มาที่ชอบธรรมหรือเป็นที่ยอมรับนับถือของสังฆะทั้งหมดในอาราม
พระภิกษุผู้นั้น ถึงที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมภาร ย่อมจะตกอยู่ภายใต้ภยาคติ หรือไม่ก็ลุแก่อำนาจอย่างง่ายๆ ย่อมจะใช้อำนาจนั้น รังแกพระลูกวัดไม่ในทางใดก็ทางหนึ่งก็ได้ ถึงที่ผิดน้อยก็อาจให้ผิดมาก หรือถึงที่ไม่ชอบพอก็อาจไล่พ้นไปจากอาราม เรื่องเหล่านี้มีปรากฎให้เห็นอยู่มากแต่เก่าก่อนทีเดียว
อาตมาดีใจที่ชาวพุทธในสังคมไทยส่วนใหญ่ เข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนากันอย่างลึกซึ้งดีเหลือเกิน แต่อาตมาเศร้าใจอย่างหนึ่ง เศร้าใจที่คนพุทธจำนวนไม่น้อยไร้เดียงสาต่อหลักการปกครองในพระราชบัญญัติแห่งคณะสงฆ์ไทย”