เมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 พ.ย.64 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่วัดศรีล้อม(แสงเมืองมา) ต.เวียงเหนือ เทศบาลนครลำปาง อ.เมือง จ.ลำปาง ที่ในศาลาคำมวนประชารังสรรค์ ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานบำเพ็ญกุศลศพของน้องอุ้ม หรือ นส.อรจิรา จรูญโรจน์ ณ อยุธยา วัย 16 ปี นศ.ชั้นที่ปี1 สาขาคอมพิวเตอร์กราฟฟิก วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง โดยคืนนี้เป็นคืนที่2 บรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความโศกเศร้า มีครอบครัว,ญาติ และเพื่อนๆในห้องเรียนทยอยมาร่วมงาน
พบนายธนพิชญ์ นางอังคณา จรูญโรจน์ ณ อยุธยา พ่อกับแม่ของน้องอุ้มซึ่งยังอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ พร้อมเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า น้องอุ้มจากครอบครัวเร็วเกินไปโดยที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่มีลางบอกเหตุใดๆ น้องอุ้มจะเป็นเด็กดีและติดแม่ เวลานอนก็จะหอมแก้มแม่ทุกครั้ง ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่เคยห่างละก็ไม่คิดว่าลูกจะต้องมาเสียชีวิตหลังไปฉีดวัคซีน Pfizer เข็มที่2
โดยแม่ของอุ้มเล่าว่าก่อนหน้ากลุ่มผู้ปกครองหลายคนที่อยู่ในกลุ่มไลน์ด้วยกันไม่ค่อยอยากให้ลูกฉีดวัคซีนแต่ ตนเองเป็นคนเกลี่ยกล่อมให้ผู้ปกครองยอมให้ลูกฉีดเพราะอยากเห็นลูกไปเรียนที่โรงเรียน ไปเที่ยว เข้าสังคมได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป ไม่อยากให้ลูกเป็นแกะดำของสังคม และให้ความร่วมมือกับนโยบายของรัฐบาล แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะมาเกิดขึ้นกับลูกสาวของตนเองโดยน้องอุ้ม เข้ารับการฉีดวัคซีนPfizer เข็มที่1 วันที่ 6 ต.ค. ซึ่งก็อาการปกติ และ มารับวัคซีน Pfizer เข็มที่2 เมื่อวันที่ 27 ต.ค.โดยมีคุณแม่ไปส่ง ฉีดเสร็จประมาณ 13.32 น. ก็กลับบ้านซึ่งตอนแรกอาการของลูกก็ปกติ แต่พอหลังจากนั้นสายๆวันที่ 28-29 ต.ค.ลูกเริ่มปวดท้อง คล้ายกับท้องเสียต้องและมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ตอนแรกคิดว่าลูกน่าจะเกิดอาการอาหารเป็นพิษ จึงไม่ได้คิดอะไร แต่ลูกก็ยังเข้าห้องน้ำ และอาเจียนเป็นน้ำเป็นระยะ ตลอดทั้งคืน จนลูกเริ่มอ่อนเพลีย แม่จึงให้ทานยาพาราเซตามอลทุก4ชั่วโมง และ ให้ทานโจ๊ก เกลือแร่ และซื้อยาแก้อาเจียนมาให้ทาน อาการท้องเสียเริ่มลดลง แต่อาเจียนยังมีเป็นระยะกระทั่งวันที่30 ต.ค น้องอุ้มเริ่มอ่อนแรง และ เริ่มมีอาการหายใจติดขัด หายใจทางจมูกไม่ได้ต้องหายใจทางปาก และเริ่มมีอาการอ่อนเพลียจนแม่ต้องค่อยประคองเพราะเริ่มลุกไม่ไหว กระทั่งบ่ายสองโมง แม่เห็นอาการน้องอุ้มไม่ดีเพราะหายใจเริ่มไม่ได้ จึง โทรเรียก 1669 ให้มารับตัวไป รพ.ลำปาง เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ตรวจร่างกาย ระบุสาเหตุว่าน้ำตาลในเลือดสูงถึง400 (เบาหวาน) และเกิดภาวะเลือดเป็น กรด และด้วยที่เริ่มหายใจเองไม่ได้ต้องเจาะคอใส่ท่อช่วยหายใจ ก่อนจะนำตัวเข้าห้อง ICU
จากนั้นครอบครัวได้ติดต่อสอบถามหมอ หลังลูกนอนรักษาตัวที่ รพ.1คืน หมอบอกว่า ลูกติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อมาหมอบอกว่าความดันต่ำ และ ภาวะเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดง หัวใจเต้นผิดจังหวะต้องใช้เครื่องปั้มหัวใจ จนกระท่ังเช้าวันที่3 พ.ย.หมอก็บอกว่าหัวใจน้องหยุดเต้น รวมเข้ารักษาที่ รพ.ประมาณ 3 คืน (บ่ายวันที่ 30 ต.ค.- เวลา 09.00 น.วันที่ 3 พ.ย.) ซึ่งผลการชันสูตรเบื้องต้นที่โรงพยาบาลได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของน้องอุ้มว่า หลอดเลือดในปอดมีลิ่มเลือดอุดกั้นร่วมกับการติดเชื้อในกระเเสเลือด
พ่อ-แม่ น้องอุ้ม ยังเปิดเผยต่อไปอีกว่า ระหว่างที่รับศพน้องออกจากโรงพยาบาล ตนเองได้สอบถามหมอ หมอก็ได้บอกด้วยปากเปล่าว่าอาการลักษณะนี้ก็อาจเกิดจากผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน แต่ตนเองกลับสงสัยว่าทำไมในใบรับรองการเสียชีวิตกลับไม่มีระบุเรื่องวัคซีนเลย และที่สำคัญครอบครัวของตนเองไม่มีกรรมพันธุ์เป็นเบาหวานและน้องก็ไม่เคยเป็นเบาหวาน แต่ทำไมหมอถึงบอกว่าลูกเป็นเบาหวานมีน้ำตาลสูงถึง400 ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มี จนท.เข้ามาสอบถามเรื่องราวใดๆเลย ตนอยากให้ จนท.เข้ามาตรวจสอบ อย่างน้อยก็มาช่วยเยียวยาครอบครัวของตนเองบ้างเพราะเชื่อว่าการเสียชีวิตของลูกเกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีน ซึ่งยอมรับว่าทำใจยากมากที่ลูกจากไปเร็วแบบนี้
ขณะที่เพื่อนๆในห้องเรียนที่มร่วมงานและมาช่วยงานศพ ก็บอกว่าในห้องเรียนมี1คนไม่ยอมฉีดวัคซีน ส่วนที่เหลือฉีดทุกคน โดยคนอื่นๆก็จะมีอาการเล็กน้อยเช่นเจ็บบริเวณแขน และมีไข้บ้างเท่านั้น และยอมรับว่าตกใจมากที่เพื่อนเสียชีวิตเพราะเป็นช่วงที่เรียนออนไลน์ที่บ้านจึงไม่ได้เจอกัน แต่อุ้มเป็นเพื่อนที่ดีชอบช่วยเหลืองานเพื่อนเสมอ ทุกคนก็เสียใจมากที่เพื่อนจากไปเร็วแบบนี้