ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้ช่วยรองโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. แถลงว่า ตัวเลขผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรหลังเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พบผู้เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 9,210 ราย ท่าอากาศยานภูเก็ต 4,005 ราย ท่าอากาศยานสมุย 128 ราย ผลการตรวจ RT-PCR พบผู้ติดเชื้อ 10 ราย โดยศปก.ศบค.ได้กำชับการตรวจเอกสารของผู้เดินทาง รวมถึงกำชับการตรวจ RT-PCR ที่โรงแรมทำควบคู่กับโรงพยาบาลให้ดำเนินการรู้ผลภายใน 6 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้เดินทางเข้ามาสามารถเข้าพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ หรือเดินทางท่องเที่ยวได้ สำหรับ 5 ประเทศต้นทางที่เดินทางเข้ามากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 1,593 ราย เยอรมนี1,592 ราย สหราชอาณาจักร 1,006 ราย ญี่ปุ่น 935 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 624 ราย
ที่ประชุมศปก.ศบค.วันนี้ยังหารือถึงกิจการ กิจรรมที่ได้ผ่อนคลายร่วมกับกทม.และภาคเอกชน เช่นสมาคมภัตราคารไทย สมาคมผู้ค้าปลีก โดยเน้นย้ำทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้พัฒนาการให้บริการให้ได้มาตรฐานสาธารณสุข หรือ SHA และSHA+ หากสถานประกอบการต่างๆร่วมมือกันดีก็อาจจะมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้นตามมา อีกประเด็นที่ ศปก.ศบค.มีความเป็นห่วงคือการเปิดให้มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอให้สถานประกอบการต่างๆดำเนินการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ซึ่งศปก.ศบค.จะประเมินผลการดำเนินการทุก 2 สัปดาห์ ถ้าผลที่ออกมาดีขึ้นก็จะมีการผ่อนคลายต่างๆตามมา
ส่วนการเตรียมความพร้อมหลังเปิดรับนักท่องเที่ยว หากเกิดระบาดขึ้น พญ.สุมนี กล่าวว่า เมื่อมีแผนเปิดประเทศแล้ว ได้เตรียมแผนเผชิญเหตุแล้ว เช่น ความพร้อมในการรองรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ของคนในพื้นที่ ,ลักษณะการระบาดวิทยาของ โควิด-19 ในพื้นที่ การจัดการทรัพยากรให้พร้อมในการควบคุมโรค ,พิจารณาปรับลดกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว และลดลงมาจนถึงยุติการรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องเป็นมติจากที่ประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนั้นๆ ในการดำเนินการชะลอหรือยกเลิกโครงการ ซึ่งเกณฑ์นี้อาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และแผนของประเทศ อีกทั้งคำนึงถึงศักยภาพ ทั้งการควบคุมโรคและรักษาพยาบาลในขณะนั้นด้วย