วันที่ 9 พ.ย. ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับ นายทิวา การกระสัง ทนายความ เดินทางมาตามนัดพิจารณาคดีที่ ป.ป.ช. ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม ซึ่งการพิจารณาคดีนัดแรกนั้นนางสาวปารีณาต้องเดินทางมาศาลด้วยตนเองเท่านั้น
นายทิวา การกระสัง ทนายความ พร้อมระบุว่า ได้เตรียมรายชื่อพยานในการต่อสู้คดีทั้งหมด 10 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิม เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดิน และเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ โดยจะต่อสู้เพื่อยืนยันว่า ไม่ได้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ตามที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นการรับมรดกที่ดินส่งต่อมาจากบิดา ตั้งแต่ก่อนที่จะประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน
น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ตั้งแต่เปลี่ยนทนายความเพื่อมาต่อสู้คดี ซึ่งตนเองได้นำเอกสารต่างๆมอบให้กับทนายความแล้ว พร้อมยืนยันว่า ยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ตั้งแต่ศาลประทับรับฟ้องในคดีนี้ และมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่เมื่ออยู่ภายใต้กฎหมาย ก็ต้องปฏิบัติตาม
สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องจาก ป.ป.ช. ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม โดยศาลเห็นว่า ป.ป.ช.บรรยายพฤติการณ์ชัดเจน ดำเนินการครบถ้วนจึงมีคำสั่งให้รับคำร้องและให้ น.ส.ปารีณา หยุดปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กฎหมาย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 81 ระบุว่า หากศาลฎีกาพิพากษาว่า มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้น พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปีด้วยหรือไม่ก็ได้ หากผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง จะไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
คดีนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยโฆษก ป.ป.ช. แถลงว่า ตั้งแต่ปี 2545-2546 นายทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.ปารีณา ได้เข้ามาประกอบกิจการเลี้ยงไก่ และระหว่างการครอบครองต่อมา น.ส. ปารีณา ก็เข้ามาเป็นผู้ซื้อขายไฟฟ้าเพื่อใช้ประกอบกิจการปศุสัตว์เรื่อยมา และจากการตรวจสอบ ไม่ปรากฏว่า น.ส. ปารีณา เข้ามายื่นคำขอใช้ที่ดินปฏิรูป แต่กลับมีพฤติการณ์ถือครอง และกระจายการถือครอง ก่อนดำเนินการถือครองในชื่อของ น.ส.ปารีณา อีกครั้ง ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิด น.ส. ปารีณา ว่าฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน 2 ข้อหา คือ เป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมหรือที่เรียกว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน และ เป็น ส.ส.กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งตามมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย