จากกรณีที่มี หญิงสาวผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพกระเป๋าใบหรู คู่กับใบเสร็จภาษีศุลกากร โดยมีข้อความบนภาพว่า “บ้าไปแล้ว ต้องจ่ายภาษีกระเป๋าที่ตัวเองใช้ 68,929 บาท ที่สนามบินสุวรรณภูมิ” และโพสต์ข้อความว่า คุณแม่ดูคนที่เขาขายกระเป๋าแบรนด์เนมก๊อบปี้ Live ขายใน Facebook คุณแม่งงมากเลยตำรวจไม่จับเหรอคะ? เวลาเขาใช้ของแท้ก็มาปรับเขาซะงั้น งงกับพี่ไทยมากๆๆเลย ดูดู5555แล้วคนที่ใช้ของปลอมเขาปรับกันหรือเปล่าวะกระเป๋าเนี่ย”
โดยหญิงสาวคนดังกล่าวได้ระบุว่า เป็นกระเป๋าที่เป็นของใช้ส่วนตัวของตนเองไม่ได้หิ้วมาเพื่อการค้าแต่อย่างใด ส่งผลให้โลกออนไลน์มีการวิพากวิจารณ์ เรื่องนี้อย่างกว้างขวาง
และเพื่อหาคำตอบของเรื่องนี้ นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร ได้ชี้แจงกับทีมข่าว TOPNEWS ว่า หลักการจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากรนั่น ผู้ที่นำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดไหน ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ใด จะต้องมีการเสียภาษีอากร ยกเว้นที่กฏหมายกำหนดไว้ ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะต้องมีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 2 หมื่นบาท และหากเกิน2 หมื่นบาท ก็จะจัดเก็บภาษีตามเกณฑ์ของสินค้าประเภทนั่นๆ
ทั้งนี้ จากกรณีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตรวจพบ และทำการจัดเก็บภาษี โดยใช้ฐานการประเมินจากใบเสร็จสินค้า ซึ่งพบว่า กระเป๋า ใบดังกล่าว มีราคาอยู่ที่ประมาณ 250000 บาท จะต้องเสียภาษีอากรอยู่ที่ 20% รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทำให้ต้องเสียค่าภาษีประมาณ 68,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายกำหนดไว้ ยืนยันกฏหมายไม่ได้มีการกำหนดข้อยกเว้นเกี่ยวกับสินค้าที่นำเข้ามา เพื่อนำมาใช้เอง หรือนำมาให้คนอื่น
โฆษกกรมศุลกากร ยืนยัน การจัดเก็บภาษีอาการขาเข้าของสัมภาระหรือสินค้า เป็นไปตามหลักการเดียวกับทุกประเทศ และในการยกเว้นการเสียภาษีอากร จะมีวงเงินอยู่ที่ 2 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ดังนั้น หากสินค้าหรือสัมภาระที่นำเข้ามามีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นบาทก็ต้องจ่ายภาษี ยืนยัน กรมศุลกากร ไม่ได้จ้องจับผิด แต่จะดำเนินการตามหลักการ การบริหารความเสี่ยง และใช้การสุ่มตรวจ หากพบว่า มีการนำสินค้าที่มีมูลค่าเกิน 2 หมื่นบาท ก็จะทำการจัดเก็บภาษีนำเข้าตามกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนที่ได้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศ และนำกลับเข้าประเทศ สามารถตรวจสอบอัตราภาษีของสินค้าที่จะนำเข้าประเทศได้ ที่เวบไซต์ของกรมศุลกากร หรือ เจ้าหน้าที่ศุลกากรภายในสนามบินได้