รวบ 2ผัวเมียชักปืนข่มขู่ตำรวจก่อนหลบหนี สุดท้ายไม่รอด เจอข้อหาเพียบ!

ตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองปราบร่วมกับตำรวจทางหลวง รวบ 2 ผัวเมียชักปืนข่มขู่ตำรวจหลบหนีการจับกุมคดีฉ้อโกงก่อนเรียกชุดหนุมานตามจับตั้งข้อหาเพียบ

31 ธค.64 กองบังคับการปราบปราม ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจทางหลวงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก.,พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.ณัฐพงษ์ ปิตะบุตร, พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.รณกร สุขมงคล, พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา, พ.ต.ท. ศุภกร ตังคะประเสริฐ, พ.ต.ท. ภัทรพันธ์ ศิริเพิ่มพูลชัย รอง ผกก.4 บก.ป.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป.,พ.ต.ท.รณกร สุขมงคล, พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา, พ.ต.ท. ศุภกร ตังคะประเสริฐ, พ.ต.ท. ภัทรพันธ์ ศิริเพิ่มพูลชัย รอง ผกก.4 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามและ กองบังคับการตำรวจทางหลวง

ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย

1.น.ส.พิมพ์นาราฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 592/2564 ลงวันที่ 27 ก.ย. 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “โดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและฉ้อโกงประชาชน”
และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่ายังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.115/2564 ลงวันที่ 18 ต.ค. 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และหมายจับศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ ที่ 116/2564 ลงวันที่ 28 ธ.ค. 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “โดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นอกจากนี้ยังพบว่ามีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนอีกกว่า 10 คดี (หลอกขายของออนไลน์) และร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับ น.ส.พิมพ์นาราฯ ผู้ต้องหา เพิ่มเติมในความผิดฐาน

ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่

ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว

หลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา

ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์)

2.นายอัมรินทร์ฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี โดยกล่าวหาว่า

ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธปืน

ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน ให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธปืน

กระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หลุดพ้นจากการคุมขังไป โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืน

ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร

มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่

ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์) รวม 7 ข้อหา

พร้อมทั้งได้ตรวจยึดของกลาง จำนวน 4 รายการ
1.อาวุธปืน ยี่ห้อ CZ P-10 S จำนวน 1 กระบอก
2.เครื่องกระสุนปืน จำนวน 24 นัด
3.รถยนต์ โตโยต้า วีออส สีดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียน ฆท 4486 กรุงเทพมหานคร
4.ป้ายทะเบียนรถยนต์ กจ 145 ศรีษะเกษ จำนวน 2 แผ่น

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าตำรวจ กก.4 บก.ป. สืบทราบว่า น.ส.พิมพ์นาราฯ ผู้ต้องหานี้มีพฤติกรรมในการหลอกขายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊กโดยอ้างว่าได้ทำการสั่งผลิตและซื้อสินค้าจากโรงงานในประเทศจีนได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ทำให้มีผู้หลงเชื่อและโอนเงินให้แก่ผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 100 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 25 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมในการหลอกชักชวนผู้อื่นลงทุนโดยอ้างว่าจะจ่ายผลตอบแทนในจำนวนที่สูงกว่าปกติ ทำให้มีผู้หลงเชื่อและโอนเงินให้แก่ผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งจากรณีดังกล่าวได้มีกลุ่มผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีจนนำไปสู่การออกหมายจับ น.ส.พิมพ์นาราฯ ตามรายละเอียดข้างต้น

จากกรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจเล็งเห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนจนเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการสืบสวนหาตัวผู้ต้องหามาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2564 ได้ทำการสืบสวนทราบว่า น.ส.พิมพ์นาราฯ ผู้ต้องหาได้มานั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งย่านงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบ น.ส.พิมพ์นาราฯ กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่กับนายอัมรินทร์ฯ จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแสดงหมายจับให้ น.ส.พิมพ์นาราฯดู และแจ้งให้ทราบว่าจะต้องถูกจับกุม

เมื่อนายอัมรินทร์ฯ ได้ยินดังนั้นจึงแสดงท่าทีไม่พอใจและพูดขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว น.ส.พิมพ์นาราฯ ไปดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ทั้งยังเสนอเงินจำนวน 30,000บาทให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแลกกับการปล่อยตัว น.ส.พิมพ์นาราฯ แต่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธพร้อมกับยืนยันว่าจะต้องนำตัว น.ส.พิมพ์นาราฯ ไปยังที่ทำการของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นายอัมรินทร์ฯ จึงได้แสดงท่าทีคล้ายกับหยิบสิ่งของบางอย่างที่อยู่ภายในกระเป๋าสะพายข้างสีดำที่นายอัมรินทร์ฯ สะพายอยู่พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่าจะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัว น.ส.พิมพ์นาราฯ ไปเด็ดขาด

เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นท่าทีของนายอัมรินทร์ฯ มีความผิดสังเกตจึงได้ขอตรวจสอบกระเป๋าสะพายดังกล่าว เมื่อนายอัมรินทร์ฯเห็นดังนั้นได้ชักปืนออกมาจากกระเป๋าที่สะพายอยู่

จากนั้นนายอัมรินทร์ฯ และ น.ส.พิมพ์นาราฯ ได้วิ่งหลบหนีการจับกุมไปขึ้นรถยนต์ โตโยต้า วีออส ติดแผ่นป้ายทะเบียน ฆท 4486 กรุงเทพมหานคร หลบหนีไป

เจ้าหน้าที่จึงแจ้งเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทราบและเร่งติดตามตัวผู้ต้องหาทั้งสองในทันที พร้อมกับเรียกกำลังสนับสนุนจากหน่วยหนุมานกองปราบและตำรวจท้องที่ให้ช่วยกันติดตามตัวคนร้าย

จนกระทั่งสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองได้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านไทรน้อย จ.นนทบุรี พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง และจากการตรวจสอบพบว่าแผ่นป้ายทะเบียน ที่ติดอยู่กับรถยนต์ที่ขับรถหนีนั้น เป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่ทำปลอมขึ้น จึงได้ควบคุมตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติพบว่านายอัมรินทร์ฯ เคยถูกจับกุมดำเนินความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน เมื่อปี พ.ศ.2552 และพื้นที่ สภ.กระตีบ เมื่อปี พ.ศ.2564 อีกทั้งยังเคยถูกดำเนินคดีข้อหาทำร้ายร่างกาย ในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน เมื่อปี พ.ศ.2564 อีกด้วย
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาประสงค์ให้การ ในชั้นศาล

ตำรวจสอบสวนกลางจึงขอฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนทั่วไปที่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์หรือสนใจลงทุนผ่านทางช่องทางออนไลน์ ขอให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าหรือผู้ขายให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ ทั้งนี้หากผู้เสียหายรายใดเคยสั่งซื้อสินค้าหรือโอนเงินให้ น.ส.พิมพ์นาราฯ แล้วไม่ได้รับสินค้าตามที่อ้าง สามารถรวบรวมหลักฐานการสั่งซื้อสินค้า, การแชทพูดคุย และ สลิปการโอนเงินเข้าแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ที่รับผิดชอบ

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เบส คำสิงห์” แจ้งข่าว “พ่อสมรักษ์” ป่วยเข้า ICU แฟนคลับแห่ส่งกำลังใจเพียบ
ปภ. จับมือ 8 หน่วยงานและเครือข่าย ร่วมเฝ้าระวัง ดูแลรักษาทุ่นตรวจวัดคลื่นสึนามิของไทย
"อนุทิน" เผยปภ.จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว 3 แสนครัวเรือน พร้อมพัฒนาทั้งมติการป้องกันและฟื้นฟู
“ปานเทพ” ชม “ทนายสายหยุด” มีคุณธรรม จรรยาบรรณ หลังถอนตัวว่าความ ให้ “ตั้ม”
คอหวยแตกตื่น..!! เลขเด็ด "น้ำ" วาริน ชิณวงศ์ นายก อบจ.เมืองคอนฟรีเวอร์แห่ทุ่มเสี่ยงโชคคึกคัก- เหลือเชื่อหลังหักปากกาเซียนคว้าชัยเฉือน "กนกพร" นายกฯคนเก่าราวปาฎิหาริย์
แม่แจ้ง กู้ภัยฯ ตำรวจ ช่วยเหลือลูกสาวถูกมอมยา โอละแม่ ลูกเมาคุกกี้มนุษย์อวกาศผสมกัญชา
รวบผู้ต้องหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามหมายจับ ปลอมเป็นคนอื่น จับได้กลางถนน
สหรัฐร่างแผนฉุกเฉินปกป้องไต้หวันหากจีนโจมตี
กองปราบฯส่งจนท.เข้าสอบ ‘บอสดิไอคอน’ปมคลิปเสียงฉาว จ่อแจ้งข้อหา‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’
ศาลอาญาฯ รับฝากขัง เมีย-ลูก "หมอบุญ" นำตัวเข้าเรือนจำ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น