เมื่อวันที่ 25 ก.พ.65 ที่โรงแรม เอส.22 จ.สุราษฎร์ธานี นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากปัญหาความขัดแย้งรัสเซียและยูเครน จึงยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายวิศักดิ์ ยอมรับว่า เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อาจจะส่งผลกระทบต่อกลไกการดูแลราคาดีเซล ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาท/ลิตร โดยจะทำให้บริหารงานทำได้ยากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนน้ำมัน 20 สตางค์ต่อลิตร ดังนั้น หากสถานการณ์ยืดเยื้อรวมถึงราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจจะส่งกระทบต่อสภาพคล่องของกองทุนฯ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมาก รัฐบาลจะเร่งเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ผู้อำนวยการ สกนช. กล่าวว่า สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันยังติดลบกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติให้ลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ทำให้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ลดลงเกือบ 3 บาท/ลิตร ส่งผลให้ มีมติลดภาระค่าน้ำมันดีเซลให้ประชาชนทันที 2 บาท/ลิตร ส่งผลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาท/ลิตร และมีเงินเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดูแลราคาน้ำมันได้นานขึ้น
ส่วนความคืบหน้าการกู้เงิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการตามคำแนะนำด้านบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยคาดว่า จะใช้ระยะเวลาไม่เกินเดือนพ.ค.65 ยืนยันมีสภาพคล่องเพียงพอถึงช่วงที่เงินกู้มาเสริมสภาพคล่องแน่นอน
สำหรับสถานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
– ประมาณการสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2565 มีรายจ่ายประมาณเดือนละ 5,489 ล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายน้ำมันเดือนละ 3,430 ล้านบาท และรายจ่ายก๊าซ LPG เดือนละ 2,059 ล้านบาท
– ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 ติดลบ 20,164 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน 6,172 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 26,336 ล้านบาท
นอกจากนี้ นายวิศักดิ์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 24 – 25 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพหรือไบโอดีเซลที่เป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซล และบทบาทของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาให้กับน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ
โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังต้องดูแลสนับสนุนเชื้อเพลิงชีวภาพถึงแม้ในทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จะต้องวางแผนลดการอุดหนุนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพลงภายใน 3 ปี แต่กฎหมายมีความยืดหยุ่นให้ขยายเวลาการลดการชดเชยได้ 2 ครั้งๆ ละ 2 ปี ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังต้องคำนึงถึงการปรับตัวของภาคเกษตรกรประกอบด้วย จึงต้องขยายการชดเชยออกไปก่อน ซึ่งการศึกษาดูงานครั้งนี้ สกนช. จะนำข้อมูลที่ได้รับมาปรับใช้และเตรียมจัดทำแผนขอขยายการชดเชยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ต่อที่ประชุมกบง.ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน ของบริษัท เอส.พี.โอ.อะโกรอินดัสตรี้ส์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดใน ผลิตกระแสไฟฟ้าจากไบโอแก๊สและผลิตกระแสไฟฟ้าจากไบโอแมส มีกำลังการผลิต 45 ตันผลปาล์ม/ชั่วโมง โรงงานมีจุดเด่นที่นโยบายคุณภาพ ระบบมาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากที่สุด โดยเป็นการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อชุมชน มีการรวมกลุ่มเกษตรกร และควบคุมดูแลการปลูกปาล์มน้ำมัน ทั้งด้านการจัดการดูแลสวนปาล์มอย่างเป็นระบบ ควบคู่การรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชนอีกด้วย
