ฟันปารีณา สะเทือนส.ส.ทั้งสภา หนาวถึงธนาธร

ผลคำพิพากษาศาลฎีกา กลายเป็นการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว หนาวกันทั้งสภา หลังปารีณาถูกประหารชีวิตทางการเมือง ทั้งตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี ถูกเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตลอดชีวิต ผลแห่งคดีทำให้ 4 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 3 คนจากภูมิใจไทย 1 คนจากพลังประชารัฐ ที่ถูกป.ป.ช.ชี้ผิดจริยธรรมร้ายแรงหวั่นซ้ำรอยปารีณา ฝ่ายปิยบุตรได้ทีโจมตีศาลปลุกคนทำนิติสงครามรื้อรัฐธรรมนูญปี 60 แต่ที่หนาวสุดขั้วคือธนาธรเพราะแม่มีคดีรุกที่ป่าสงวนเหมือนกันเด๊ะ

ปิดฉากไปอีกรายสำหรับ “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.เขต 3 จ.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หลังจากที่เมื่อวานนี้ ( 7 เม.ย.2565) ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ คมจ.1/2564 ซึ่งทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของปารีณา   มูลเหตุของเรื่องนี้ก็คือการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจ.ราชบุรี ที่ป.ป.ช.ในฐานะผู้ร้องระบุว่า ปารีณาเป็นส.ส. ไม่ได้มีอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินเพื่อทำประโยชน์ จำนวน 29 แปลง เนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ หนำซ้ำยังมีทรัพย์สินที่ยื่นแสดงไว้กับป.ป.ช.กว่า 163 ล้านบ้าน จึงไม่ได้เป็นผู้ยากไร้ที่ทำกิน ทำให้ขาดคุณสมบัติครอบครองที่ดินเขตปฏิรูปตั้งแต่แรก ขณะที่ฝ่ายปารีณาในฐานะผู้คัดค้านแก้ต่างชี้แจงว่า ครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ปี 2484 ก่อนที่จะมีการประกาศ พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวน ในปี 2507 โดยทวี ไกรคุปต์ ผู้เป็นบิดา ได้ซื้อที่ดินต่อจากชาวบ้านผู้มีสิทธิ์ ก่อนนำมาทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และปลูกพืช ก่อนจะยกกิจการให้ตนดูแลตั้งแต่ปี 2555 โดยไม่ทราบว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน จึงไม่มีเจตนาบุกรุกป่าแต่อย่างใด นอกจากนี้ที่ผ่านมากรมป่าไม้ไม่เคยปักหมุดว่าเป็นเขตป่าสงวน ทำให้ประชาชนที่เคยครอบครองที่ดินอยู่ไม่ทราบที่ตรงไหนเป็นพื้นที่ป่าสงวน แต่มาประกาศในภายหลังและมีการดำเนินคดีกับตนเองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อทราบข้อมูลตนได้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินและคืนที่ให้ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

อย่างไรก็ตามศาลกับเห็นต่าง และมองว่าเรื่องนี้เข้าข่ายกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ในลักษณะที่ผลประโยชน์ทับซ้อน และถือเป็นการฝ่าฝืนมาตราฐานจริยธรรมร้ายแรง แถมยกหลายเรื่องมาหักล้างข้อมูลของปารีณา อาทิ การระบุว่าที่ดินโดยรอบมีการขอ สปก.4-01 หลายแปลง ปารีณาทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่าทำไมไม่รู้ การครอบครองที่เกิน 50 ไร่ แถมยังหลีกเลี่ยงการคืนที่ดินเพื่อนำมาจัดสรรให้เกษตรกรและปฏิรูปตลอดมา รวมถึงการระบุว่าปารีณาเป็นส.ส.มาแล้วถึง 4 สมัย ย่อมมีความรู้เรื่องที่ดินที่ครอบครองเป็นอย่างดี แต่การกระทำที่ผ่านมาส่อให้เห็นว่ามีเจตนาปิดโอกาสเกษตรกรรายอื่น ทำให้ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน นอกจากนี้ที่ผ่านมาปารีณายังทำงานส่วนใหญ่ในสภาไม่ใช่เกษตรกรอาชีพ แต่กับมีกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายสิบแปลง ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีเอกสารสิทธิ์ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเสื่อมเสียเกียรติและมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง แม้ต่อมาจะส่งคืนที่ดินทั้งหมด ก็ไม่ทำให้การฝ่าฝืนจริยธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นไม่เกิดขึ้นได้

” ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป มีผลให้ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสี่ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 87 และ มาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ข้อ 3 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง ทั้งนี้ คำพิพากษาให้มีผลทันที และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป ”

ถือเป็นการปิดฉากชีวิตทางการเมืองอย่างโหดร้ายของปารีณา อดีตส.ส. 4 สมัยในวัน 45 ปีลงอย่างไม่สวย เพราะถูกคำพิพากษาศาลฎีกาประหารชีวิตทางการเมือง ทั้งๆที่ผ่านมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้กับกลุ่มสามกีบ ปกป้องสถาบัน แถมยังเป็นองครักษ์พิทักษ์ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” แถวหน้าทั้งในและนอกสภา งานนี้เจ้าตัวถึงกับพูดไม่ออก เศร้า ตัวชา ยอมรับตกงาน 100 % ไปสภาก็ไม่ได้ ไก่ก็ไม่มีให้เลี้ยงแล้ว หมดทุกอย่าง เพราะต้นตอของเรื่องนี้ก็มาจากกรณีที่ปารีณาออกมาดับเครื่องชน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำสามนิ้ว ตัวเองก็เลยพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขถูกร้องคดีเรื่องนี้ไปด้วย หนำซ้ำคดีนี้ยังถือเป็นคดีแรกเป็นคดีตัวอย่างคดีบรรทัดฐานที่ป.ป.ช.เสนอเรื่องร้องมาให้ศาลฎีกาเอาผิดจริยธรรมนักการเมืองที่ทำความผิดอย่างร้ายแรง เคสของปารีณาเลยกลายเป็นตุ๊กตาเป็นคดีตัวอย่างเรื่องแรก ผลพวงของเรื่องนี้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ฝ่ายนักการเมืองส่วนใหญ่ปากอาจจะน้อมรับคำวินิจฉัยของศาล แต่ในใจเชื่อเหลือเกินว่าส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาในคราวนี้ ที่สำคัญคงหนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน เพราะอีกหน่อยหากทำผิดอะไรแล้วโดนป.ป.ช.สรุปฟันธงว่า ทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงและส่งเรื่องมาให้ศาลฎีกา โอกาสจบเห่ได้กลับบ้านไปนอนหนาวยาวๆเหมือนปารีณาก็มีสูง เพราะตัวอย่างคดีก็มีให้เห็นกันแล้ว

ผลแห่งคดีนี้กลายเป็นผลดีให้ “อ.บูด” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า แกนนำสามนิ้วล้มเจ้า ได้ทีขี่แพะไล่ใช้จังหวะนี้ออกมาขย่มศาลโจมตีกระบวนการยุติธรรมทันที โดยเขียนเฟซบุ๊คใช้วาทกรรมและความรู้ด้านกฎหมายที่ช่ำชองของตัวเองปลุกระดมคนเห็นต่างไม่เอาศาล ให้หยุด “นิติสงคราม” ที่นำมาเข่นฆ่านักการเมืองและประชาชน หยุด “การยื่นดาบ” ให้องค์กรตุลาการมาประหารชีวิตทางการเมืองของนักการเมืองกันเอง ” กรณีศาลฎีกาพิพากษาว่าคุณปารีณาจึงไม่ควรนำมาซึ่งการไชโยโห่ร้องของฝ่ายที่ไม่ชอบพฤติกรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของคุณปารีณา ตรงกันข้าม มันควรเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นพิษภัยของรัฐธรรมนูญ 2560 ความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นไปตามหลักการสากลของรัฐธรรมนูญ 2560 ” ปิยบุตรได้โอกาสปลุกคนเห็นต่างแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องนี้

ขณะที่ฝากฝั่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ งานนี้ต้องเสียนักรบหญิงดาวสภาฝ่ายบู๊ฝีมือดีไปอีกคน แต่ก็น้ำท่วมปากพูดอะไรมากไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องเออออห่อหมกปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แต่ก็อยากให้ทุกฝ่ายมองในแง่ดีว่ามีมาตราฐานใหม่ในเรื่องนี้ออกมากำราบนักการเมือง ” กรณีนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ต้องอยู่กันด้วยกฏหมายเพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวัง วันนี้คิดว่าหลายอย่างเกิดบรรทัดฐานใหม่ขึ้นมาแล้วนี่คือการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ไม่ใช่เฉพาะแค่นักการเมืองเท่านั้น …..เราไม่ได้เลือกปฏิบัติ มันเป็นกลไกของกระบวนการยุติธรรม ” บิ๊กตู่ระบุ

อานิสงฆ์จากคำพิพากษาคดีปารีณา น่าจะทำให้นักการเมืองไทยในสภาคงหนาวๆร้อนๆ ไม่กล้าทำอะไรที่ผิดกฎหมายหรือสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายอีกต่อไป เพราะคราวนี้เจ็บจริงหลุดจริงได้กลับไปนอนอยู่บ้านจริงๆ หลังปารีณาถูกปลิดทิ้งพ้นเก้าอี้ส.ส.ไป ปรากฎว่ายังมีนักการเมืองอีก 4 คนที่ถูก ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา ในฐานความผิดจริยธรรมร้ายแรงคล้ายๆกรณีปารีณา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ประกอบไปด้วย 3 ผู้แทนพรรคภูมิใจไทย คือ ฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง , ภูมิศิษฏ์ คงมี ส.ส.พัทลุง และ นาที รัชกิจประการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรณีเสียบบัตรแทนกันระหว่างโหวตลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ตอนนี้ผ่านขั้นตอนการตรวจหลักฐานของศาลไปแล้ว อย่างไรก็ตามทนายของทั้ง 3 คน ได้ยื่นเรื่องของเลื่อนการพิจารณาคดีนี้ไปก่อน เพราะอยากรอฟังผลคดีอาญาที่อยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องทั้ง 3 คน ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตาม ม. 157

ด้วยเหตุนี้ศาลจึงเห็นสมควรให้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไป จนกว่าจะพิพากษาคดีอาญาแล้วเสร็จ โดยให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อฟังผลความคืบหน้าคดีอาญาในวันที่ 21 ธ.ค.2565 เวลา 14.00 น. สำหรับคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องส.ส. 3 คน ของพรรคภูมิใจไทย ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การวันที่ 19 พ.ค.2565 นี้ เวลา 09.30 น. นอกจากนี้ยังมีกรณีของธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกป.ป.ช.ชี้มูลกรณีฝากบัตรให้ผู้อื่นเสียบแทนระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เหรียญราชรุจิ ร. 10 อีกคดี โดยป.ป.ช.ชี้มูลในความผิดตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ส่งให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลฎีกานักการเมือง และยังมีความผิดจริยธรรมร้ายแรงด้วย ซึ่งส่งให้ศาลฎีกาโดยตรง ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2564 ศาลฎีกานัดไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีครั้งแรกไปแล้ว เบื้องต้นส.ส. ทั้ง 4 คนนี้ คงหนาวๆร้อนๆไปตามกัน แต่ที่หนาวกว่าใครเพื่อนก็คงเป็นพล.อ.ประยุทธ์ เพราะถ้าเกิดทั้งหมดถูกลงโทษเอาผิดขึ้นมาจริงๆ เสียงของฝากฝั่งรัฐบาลคงหายไปอื้อ

แต่ที่หนาวที่สุดและหนักที่สุด อนาคตอาจถึงขั้นตัวชา ช็อคเหมือนปารีณาก็คือ สามแม่ลูกตระกูลจึง คือ “สมพร-ชนาพรรณ-ธนาธร ” ที่ล่าสุดมีคดีรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี เหมือนเอ๋ปารีณาเป๊ะเลย อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 ฉบับไปแล้ว เมื่อ 29 มี.ค.2565 แต่บก.ปทส.มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง แม่ธนาธรกับพวกไปยังอัยการจ.ราชบุรี ทำให้กรมป่าไม้ต้องทำหนังสือเห็นแย้งถึงอัยการจ.ราชบุรี โดยขอให้อัยการจ.ราชบุรีฟ้องคดีนี้ ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการจ.ราชบุรี นอกจากนี้สมพรยังถูกกล่าวหาอีกคดีจากกรมป่าไม้ โดยมีการส่งเรื่องไปยังเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในฐานความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีการยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการค้า ไม่ต้องแปลกใจทำไมปิยบุตร ธนาธร ลิ้วล่อถึงออกมาให้กำลังใจปารีณา โจมตีศาล และเขี่ยลูกเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเห็นตัวอย่างปารีณามาแล้ว รอบหน้าคงไม่แคล้วถึงตาตัวเอง
//////////////////

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"กลุ่มชายปริศนา" แหวกวงล้อมสื่อ เข้ารุมทำร้าย "พระปีนเสา" ขณะให้สัมภาษณ์
เปิดตัว "TKR Connect" แพลตฟอร์มจัดหางานครบวงจร สร้างมิติใหม่รองรับแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกม.
ออกหมายจับ "หมอบุญ" พร้อมพวกรวม 9 คน “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน” ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้กู้เงิน 8 พันล้าน
ระทึกกลางดึก ไฟไหม้ "ร้านกาแฟ" เผาวอดทั้งหลัง เสียหายกว่า 7 แสนบาท
"อุตุฯ" เผย "เหนือ-อีสาน-กลาง" อากาศเย็นตอนเช้า เตือนใต้ยังรับมือฝนตก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น