นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กข้อความว่า 9 ปีมานี้ กรุงเทพฯ ได้อะไร? ในฐานะคนกรุงเทพฯ และ เคยมีประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม.รวมถึงทำหน้าที่ ส.ส. กทม. ผมอยากบอกว่า วันที่ 22 พ.ค.นี้ มีความสำคัญอย่างมาก เป็นวันที่ชี้ชะตาว่า อนาคตของ กทม.จะเดินไปทางไหน ผมอยากให้เรามองย้อนกลับไปว่าตลอด 9 ปีที่ผ่านมา สภาพ กทม.เป็นอย่างไร โดยสิ่งที่ได้รับฟังส่วนมาก คือ เสียงร่ำร้องของคนกรุงต่อปัญหาต่างๆ ยังดังระงม โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องพึ่งพาตัวเองให้มีชีวิตรอด เพราะพวกเขา มองว่าการบริหารจัดการที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงใช่หรือไม่
พนิต วอนคนกรุงใช้ “สติ-หัวใจ” เลือกผู้ว่าฯกทม. อย่าใช้อารมณ์เชื่อฟังคำผีบอก ซัดโค้งสุดท้ายมีความพยายามทำให้ประชาชนแตกเป็นสองฝั่ง ขณะไม่ลืมจวก 9 ปีที่ผ่านมาเหมือนแดนสนธยา ไร้การแก้ปัญหา ไร้การตรวจสอบถ่วงดุล
ข่าวที่น่าสนใจ
นอกจากคนกรุงต้องรักษาชีวิตจากโรคระบาดแล้ว ยังต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหารายได้ประทังชีวิตอยู่รอดได้ในภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่สุดกรู่ โดยไม่สามารถพึ่งหวังการช่วยเหลืออะไรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เลย ไม่เพียงเท่านั้นยังถูกซ้ำเติมจากความไม่ชอบธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขูดรีด เก็บส่วย ตลอดจนการรับเงินใต้โต๊ะ แม้แต่เรื่องน้ำท่วม น้ำรอการระบาย ปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า 9 ปีผ่านมาทุกอย่างเหมือนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด
ขณะที่ กทม. ในห้วง 9 ปีมานี้ไม่ต่างอะไรกับดินแดนสนธยา ที่ผู้คนต่างพาค่อนแคะว่า กระบวนการตรวจสอบผุพัง ผู้บริหาร และ ส.ก.ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไร้การถ่วงดุล ไร้การตรวจสอบ แต่ละเรื่องถูกตั้งข้อสังเกตว่า มุ่งแต่สนองงานให้กับผู้มีอำนาจมากกว่าที่จะตอบโจทย์ให้กับประชาชน เสียงสะท้อนบอกว่าเป็น 9 ปีที่ กทม.เหมือนหยุดอยู่กับที่ หรือบางคนมองว่า มันก้าวถอยหลังไปเสียด้วยซ้ำ
และน่าหวั่นใจยิ่งกว่า ที่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งครั้งนี้ มีความพยายามจะใช้วิธีการหาเสียงด้วยวิธีการแบบเดิมๆ ด้วยการทำให้สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เป็นการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ หรือ Strategic vote โดยพยายามจับประชาชนแยกเป็นสองฝั่ง ชักจูงให้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ได้มากที่สุด มีการสร้างความหวาดกลัว โดยการปลุกผีคนนั้นคนนี้ขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า หากเลือกผู้ว่าฯกทม. จะได้นักการเมืองอีกคน รวมถึงการสาดโคลน สร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนเพื่อดิสเครดิตคู่แข่ง
ผมเห็นว่า วิธีการนี้นอกจากไม่สร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นพฤติกรรมที่โหดเหี้ยม เพราะมันเท่ากับการปิดโอกาสคนกรุงให้ได้ผู้ว่าฯกทม.ที่มีความรู้ความสามารถ และตั้งใจแน่วแน่ในการเข้ามาแก้ปัญหา ยุทธศาสตร์หาเสียงแบบ ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ เราเห็นผลลัพธ์กันมาแล้วว่า 9 ปี ว่าเป็นอย่างไร ฉุดรั้งหรือพัฒนาเมืองหลวงของประเทศแค่ไหน เรามีบทเรียนกันมาแล้ว และคิดว่าจะยอมให้มีการจับชาวกรุงเทพฯเป็นตัวประกันในภาค 2 อีกหรือไม่
ผมอยากวิงวอนคน กทม. การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญกับ กทม.เป็นอย่างมาก ไม่ว่าก่อนหน้านี้ใครจะประกาศเชียร์ใคร 22 พ.ค.นี้ โปรดเดินเข้าคูหาเลือกคนที่ ‘สติ’ เราวิเคราะห์แล้วว่า เหมาะสม เลือกคนที่ ‘หัวใจ’ เราเชื่อว่า ไว้วางใจได้ใน 4 ปีข้างหน้าแก่คนทุกกลุ่มพร้อมใจกว้างเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ และหลากหลาย เข้ามามีส่วนร่วมวางรากฐานรองรับอนาคตของชาติ รวมทั้งพ่อเมืองคนใหม่ จะต้องทำงานได้กับทุกฝ่าย ด้วยความอิสระ เพื่อพาคนกทม. ออกจากความขัดแย้ง มุ่งสู่การพัฒนา กทม.ด้วยการทำงานและนโยบายที่สร้างสรรค์
ดังนั้นต้อง ‘เลือกคนที่เราไว้วางใจ อย่าให้ใครชี้นำ’ เพราะคนที่ชี้นำทุกคนต่างมีแผน เลศนัย รวมถึงอาเจนด้า ขออย่าตกเป็นเหยื่อในอาเจนด้าของใคร แต่ให้เลือกคนที่ดีที่สุด และได้โปรดอย่าใช้ ‘อารมณ์’ ตัดสินด้วยคำผีบอก เพราะผมคิดว่าเป็นการกระทำลักษณะนี้เป็นการดูถูกความคิดคน กทม.อย่างมาก ตลกร้ายกว่าคือ ผู้พูดบางคนยังเป็นคนต่างจังหวัด ที่พยายามมาแทรกแซง กทม.
ในวันที่ 22 พ.ค.65 ไม่เพียงแต่เป็นวันชี้ชะตาคน กทม. ยังเป็นวันกำหนดว่าจะให้พวกเราจมอยู่ที่เดิม และปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ตามยุทธศาสตร์ที่มีการวางเอาไว้อีกหลายๆปี ฉะนั้นสิทธิและเสียงของเราจะเป็นคำตอบหลังเข้าคูหาเลือกตั้งว่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งพาพวกเราออกจากความขัดแย้งได้หรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-