กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมาทันที หลังวานนี้ 29 พ.ค. 2565 ช่วงเย็น ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าฯกทม. ไปแสดงความคิดเห็นเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในเวทีเสวนา “TALK TALK เรื่องเล่า หลังกรงขัง” ณ สวนครูองุ่น ทองหล่อ ซอย 3 ระหว่างการจัดกิจกรรมตลาด(นัด)ราษฎร ที่งานนี้มีแกนนำกลุ่มล้มเจ้าไปรวมงานหลายคน หนึ่งในนั้นคือ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่นอกจากไปร่วมกิจกรรมแล้ว งานนี้รุ้งยังได้ถือโอกาสสอบถามความเห็นของชัชชาติถึงการยกเลิก ม. 112 ที่คำตอบของว่าที่ผู้ว่าฯกทม.นี้แหละที่ทำให้กลายเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้ โดยชัชชาติตอบคำถามของรุ้งว่า
“ พูดเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ 112 นะ แต่ผมคิดว่าอย่าเอามาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก จริง ๆ แล้วมันมีมานานแล้ว ผมมองในแง่ผู้บริหาร การบริหารมันต้องมีความละมุนละม่อมในระดับนึง มันต้องมีวิธีการในการค่อย ๆ ปรับ ถ้าเราบอกว่าจะยกเลิก มาตรา 112 มันจะไปอีกขั้วนึง ฉะนั้นเริ่มจากการไม่เอา มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เริ่มตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะค่อย ๆ พัฒนาไป เราเป็นผู้บริหารมันต้องมีวิธีในการสื่อสาร อย่างผมก็อดทนมา 8 ปี ตั้งแต่ปฏิวัติมา แต่เราต้องมี strategy มียุทธศาสตร์ในการเดิน อันนี้อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ ภาษาอังกฤษว่า The revenge is best when served cold การแก้แค้นหรือแก้ปัญหามันจะดีที่สุดเมื่อตอนมันเย็นแล้ว อย่าไปเอาความโกรธความแค้นมาทำ การกำหนด strategy ในการเดิน มียุทธศาสตร์ในการเดิน แล้วเวลาก็อยู่ข้างพวกเราแล้ว ผมว่าเรื่อง 112 นาทีนี้คุณบอกให้ยกเลิก ในความเป็นจริงไม่ง่าย แต่ขออย่าเอามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เริ่มประเด็นนี้ก่อนดีมั้ย แล้วเดี๋ยวมันก็เป็นสเต็ปต่อไปโอเคนะ ” ชัชชาติกล่าว
เท่านั้นแหละเลยกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมาทันที อย่าลืมว่าชัชชาติเพิ่งชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์การเลือกตั้งกรุงเทพฯ ด้วยคะแนน 1,386,215 คะแนน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) รับรอง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชัชชาติแสดงความเห็นเรื่อง 112 ออกไปต้องบอกว่าสุ่มเสี่ยงมาก โดยเฉพาะประโยคที่ระบุว่า “การไม่เอา ม. 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง” คนไทยหัวใจชาติคนไทยที่เทิดทูนสถาบัน ได้ยินเรื่องนี้จากปากชัชชาติแล้วรู้สึกตะหงิด อยากถามกลับชัชชาติจริงๆว่า “ใคร” เอากฎหมายตัวนี้ไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง สถาบัน พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล ทหาร หรือตำรวจ ชัชชาติต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัด อย่าพูดเอาหล่ออย่าพูดเอามันส์ อย่าแวะไปพูดกับเด็กอย่าไปเรียกเรตติ้งกับพวกกลุ่มคนล้มเจ้าด้วยประโยคลอยๆ ตีกินหาเสียงเอาใจเด็กไปเรื่อยแบบนี้ อย่าลืมว่า 1.38 ล้านเสียงที่เลือกคุณไปเป็นผู้ว่าฯกทม.บริหารเสาชิงช้า ผลสำรวจส่วนใหญ่เขาชอบที่คุณประกาศตัวอิสระเขาชื่นชมที่คุณไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จู่ๆพอชนะการเลือกตั้งเสร็จแล้วคุณไปพูดแบบนี้ไปแสดงความคิดเห็นทำนองนี้ ถามว่าคนที่เลือกคุณแต่เขารักสถาบันเขาไม่อยากให้คุณไปหมกมุ่นกับพวกสุดโต่งแบบนี้เขาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณอยากพูดเรื่องนี้จริงๆอยากแสดงความคิดเห็นพรรค์นี้จริงๆ ทำไมไม่แสดงออกให้ชัดๆก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ก่อนเข้าคูหากากบาทวันวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาให้ชัดๆไปเลย ว่าคิดแบบนี้อยากทำแบบนี้ คนกรุงฯจะได้รู้เช่นเห็นชาติก่อนตัดสินใจลงคะแนน
การสื่อสารของชัชชาติมันชัดเจนว่าให้ท้ายพวกล้มเจ้าเอาใจพวกล้มล้างสถาบัน ไม่ว่าจะด้วยเพราะพวกนี้เป็นกลุ่มที่สนับสนุนตัวเองหรือเพราะลึกๆในใจเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เวลานี้ชัชชาติกำลังจะเป็นผู้ว่าฯของคนกทม.ราวๆ 4.5 ล้านคน ไม่รู้หรือว่าเรื่องการยกเลิก ม.112 มันอ่อนไหว มันเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายในการปกป้องสถาบันเอาผิดคนก้าวล่วงเจ้านาย ที่ผ่านมาการลงโทษเอาผิดคนที่ละเมิดสถาบันด้วย ม.112 พวกที่ถูกตั้งข้อหานี้ก็ล้วนแต่กระทำความผิดต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หนักหน่วงรุนแรงเกินกว่าจะปล่อยไว้ ชนิดที่คนไทยเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็ไม่เคยพบเห็น ยุคไหนสมัยใดที่คนก้าวล่วงหลบหลู่พระเจ้าอยู่หัว พระราชินี รัชทายาท รวมถึงบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงด้วยคำพูดและวิธีการใจบาปหยาบช้าเลวชาติถึงเพียงนี้ ชัชชาติอาจกำลังอินกับการเป็นผู้ว่าฯกทม.ประวัติศาสตร์ อาจกำลังหลงระเริงกับการเป็นเซเลปเป็นคนดังเป็นคนป็อปปูล่าร์แบบชั่วข้ามคืน แต่คะแนนเป็นล้านๆกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน เชื่อว่าในจำนวน 1.38 ล้านคะแนนที่เลือกชัชชาติ มีคนจำนวนมากไม่สบายใจไม่เห็นไม่ชอบที่ชัชชาติแสดงออกแบบนี้เพราะเสมือนไปรับลูกพวกล้มเจ้าไปให้ท้ายถึงเวที ย้อนอดีตพวกที่ทำผิด ม.112 มีคดีเป็นพันๆ มีคนทำผิดหลายร้อยหรืออาจเกินนับพันคน บอกได้เลยส่วนใหญ่ไม่มีการแกล้งไม่มีการเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือไม่มีการเอาเรื่องนี้มากำจัดคนเห็นต่างมองตรงข้ามกัน ในประเทศไทยยุคนี้ตอนนี้ที่มีคนบางกลุ่มบิดเบือนล้างสมองคนรุ่นใหม่ว่า เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมีผู้นำเผด็จการมีรัฐบาลทหารมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย บอกได้เลยว่าแผ่นดินไทยตอนนี้พ.ศ.นี้ (แม่ง) มีประชาธิปไตยแบบสุดๆ เลยเถิดถึงขนาดด่าในหลวงกันเอิกเกริกคิดปองร้ายราชินีลบหลู่เหยียดหยามเจ้านายชั้นสูงกันอย่างสนุกสนาน
ถ้าชัชชาติตอนนี้ยังหูตึงตาบอด ลองย้อนอดีตเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นจากความพยายามล้มล้างสถาบันของคนเหล่านี้ อาทิ 10 ส.ค. 2563 แกนนำกลุ่มล้มเจ้า ภายใต้การนำของ รุ้ง ปนัสยา “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก และ “ทนายอานน์” อานนท์ นำภา ฯลฯ ประกาศข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างการชุมนุม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ประกาศข้อเรียกร้องทั้งหมดที่ว่าไม่มีข้อไหนเรื่องใดที่จะเป็นการเสริมพระเกรียติเหมือนที่ปากพูดมือเขียนเลยว่าจะ “ปฏิรูป” แต่มันคือการล้มล้างถอดถอนทำลายด้อยค่าสถาบันแบบต่ำช้าเลวทรามที่สุด 10 ข้อที่ว่าประกอบด้วย 1.ยกเลิก ม. 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ ให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้ 2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 เปิดให้ประชาชนใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ได้ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน 3. ยกเลิกพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561ให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ของส่วนตัวของกษัตริย์อย่างชัดเจน
4. ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ 5. ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ เช่น หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น ยกเลิกคณะองคมนตรี 6. ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด 7. ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ 8. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงาม 9. สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎร ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีความเกี่ยวข้องใดๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และ 10. ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก
14 ต.ค. 2563 รุ้ง ไมค์ อานนท์ และ “ไผ่ ดาวดิน” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา แกนนำคณะราษฎร 2563 นัดชุมนุมใน08.00 น. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออก 2.เปิดประชุมวิสามัญทันที เพื่อรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญจากประชาชนทั้งฉบับ และ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ระหว่างการชุมมวลชนส่วนหนึ่งได้เดินมาที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนเกิดเหตุการณ์สุดช็อกครั้งแรกในประวัติศาสตร์เหยียบย่ำหัวใจของคนไทย เมื่อขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี และ พระองค์ทีฯ ซึ่งอยู่ระหว่างเสด็จไปถวายผ้ากฐินที่วัดราชโอรสฯและวัดอรุณฯ ขณะอยู่ระหว่างเสด็จผ่าน ถนนพิษณุโลกเพื่อข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล ได้ถูกพวกล้มเจ้าและมวลชนจากการชุมนุมกรูเข้าล้อมขบวนเสด็จฯ มีการชู 3 นิ้ว มีการชูนิ้วกลาง และตะโกนด้วยถ้อยคำหยาบคายใส่ขบวนเสด็จ นับเป็นการกระทำอุกอาจหยาบช้าอย่างที่สุดของขบวนการล้มเจ้าชนิดที่คนไทยที่เห็นภาพเหตุการณ์ต่างรับไม่ได้
26 ต.ค. 2563 กลุ่มผู้ชุมนุมนำโดย มายด์ ภัสราวลี บุกสถานทูตเยอรมนีเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนี ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการประทับ การทรงงาน และการเสียภาษีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.10 ระหว่างบินไปพำนัก ณ ประเทศเยอรมนี จากนั้น 28 ก.พ.2564 “แอมมี่ เดอะ บอตทอม บูลส์” หรือ ไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ แกนนำม็อบราษฎรก่อเหตุวางเพลิงเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ที่ยกมาทั้งหมดนี้แค่หางอึ่งแค่น้ำจิ้มความชั่วช้าของคนกลุ่มนี้เท่านั้น ความจริงมีอีกหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่คนพวกนี้คิดอ่านกระทำการหมิ่นเบื้องสูงด้อยค่าสถาบัน อาทิ ไปชุมนุมระหว่างเสด็จพระราชทานปริญญาให้นิสิต นักศึกษา ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่งตัวล้อเลียนเจ้านาย ออกคอนเทนต์โฆษณาดูหมิ่นกระทบกระเทียบคนพิการ ฯลฯ ความจริงยังมีอีกเป็นพันเป็นหมื่นการกระทำปราศรัยด่าบนเวที เขียนคอมเมนต์โพสต์ข้อมูลในอินเตอร์เนต แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อ เป็นต้น เรื่องพวกนี้ชัชชาติไปอยู่ที่ไหนไปทำอะไรเคยรับรู้เคยเอามาพูดบ้างไหม
นับประสาอะไรชาวบ้านคนธรรมดาถูกด่าถูกอาฆาตมาดร้ายถูกดูหมิ่นดูแคลนยังสามารถฟ้องร้องเอาผิดกันได้ นี้ท่านเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เป็น 3 เสาหลักของประเทศ โดยคนชั่วละเมิดคนใฝ่ต่ำย่ำยีทำไมจะเอาผิดลงโทษไม่ได้ กฎหมายอาญา ม. 112 ก็เขียนระบุไว้ชัด ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี ถ้าไม่อคติสุดใจหรือเอียงข้างจนตกโลกก็จะรู้ดีว่าคดี ม.112 ในไทย มันชั่วช้าโคตรเลวจริงๆถึงจะถูกจับถูกดำเนินคดี จู่ๆจะเอากฎหมายตัวนี้ไปกลั่นไปแกล้งใครไม่มีใครเขาบ้าเอาไปทำ พูดตรงๆแมนๆกันหน่อยอย่าบิดจนเบี้ยวอย่าเลี้ยวจนชน ต่างชาติประเทศพัฒนาเขาก็มีกฎหมายปกป้องดูแลประมุขสูงสุดของประเทศกันทั้งหมด ยกตัวอย่างให้หายโง่ สเปน หมิ่นประมากษัตริย์ ราชินี บรรพบุรุษหรือทายาท มีโทษจำคุก 2 ปี , สวีเดน ละเมิดพระมหากษัตริย์ หรือพระราชินี กรณีไม่ร้ายแรงจำคุก 4 เดือน ถ้าร้ายแรง จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี , สวิตเซอร์แลนด์ หมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐ โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปี , รัสเซีย ข่าวปลอมหรือดูหมิ่นประธานาธิบดี นายกฯ และประมุขต่างประเทศ โทษจำคุกสูงสุด 15 วัน และปรับไม่เกิน 30,000 รูเบิล , อังกฤษ ห้ามจับกุมสถาบันพระมหากษัตริย์ ห้ามจะปรับไหม หรือยึดทรัพย์ส่วนพระองค์ ห้ามนำทรัพย์สินส่วนพระองค์ขายทอดตลาด, มาเลเซีย “สมเด็จพระราชาธิบดี” จะได้รับการปกป้อง ใครจะละเมิดมิได้ และไม่มีอำนาจใดสามารถเอาผิดทางกฎหมายได้
ขณะที่บรูไน การหมิ่นสมเด็จพระราชาธิบดี ถือเป็นอาชญากรรม มีโทษจำคุก 3 ปี ส่วนภูฏาน พระมหากษัตริย์ จะถูกกล่าวหา ฟ้องร้องมิได้ ปิดท้ายที่สหรัฐอเมริกา ประเทศพระบิดาพวกบูชาประชาธิปไตย การข่มขู่ประธานาธิบดี และข่มขู่เอาชีวิตหรือทำร้ายร่างกายผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี และปรับสูงสุด 250,000 ดอลลาร์ฯ ราว 7.5 ล้านบาท ฯลฯ อย่าพูดเอาง่ายอย่าไปกลายเป็นควายให้พวกล้มเจ้าหลอก เรื่องพวกนี้ทุกประเทศมีระบุคุ้มครองสถาบันสูงสุดของตัวเองไว้หมด ไม่งั้นก็ด่าเจ้าล้อประมุขมุ่งร้ายประธานาธิบดีกันเพลินไปเลย ไล่เรียงมาทั้งหมดเพื่อจะบอกชัชชาติท่านกำลังจะได้เป็นผู้ว่าฯกทม. จากนี้ต้องดำรงค์ความเป็นกลางต้องวางตัวเป็นอิสระให้สมกับที่ท่านประกาศตัว ว่าไม่ได้เป็นหุ่นเชิดของพรรคไหน ไม่ได้เป็นคนของฝ่ายใด ไม่ได้เป็นผู้ว่าฯกทม.ของพวกล้มเจ้าล้างสถาบัน สำนึกไว้มากๆว่าท่านมีวันนี้เพราะทุนหลวง ถึงไปได้ต่อป.โท.ป.เอกที่อเมริกา ได้ดีเพราะพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้ วันนี้ความคิดเปลี่ยนไปไม่เป็นไรไม่ว่ากัน แต่อย่าให้ท้ายคนผิดอย่าคิดสนับสนุนพวกทำร้ายสถาบัน ได้กำลังใจจากคนกรุงเทพล้นหลามเป็นประวัติการณ์ 1.38 ล้านคะแนนแล้ว ตั้งหลักให้ดีตั้งเป้าให้แม่น เรื่องไหนคือหน้าที่ผู้ว่าฯกทม. เรื่องไหนควรทำเรื่องไหนควรข้าม ลำพัง 214 นโยบายของท่านไปเร่งทำให้หมดเถอะ พิสูจน์เรื่องที่รับปากหาเสียงกับคนกรุงไว้ก่อน ทำงานให้หนักพูดให้น้อยลดการพรีเซ้นต์เฟซตัวเองลงให้มากๆ ที่สำคัญอย่าหาเหาใส่หัวโดยไม่จำเป็น กกต.ยังไม่ทันรับรองยังไม่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเลย พูดจาหาเรื่องใส่ตัวไม่เว้นแต่ละวัน จับเรื่องร้อนๆพูดแต่เรื่องแรงๆเดินหน้าท้าชนสารพัดกลุ่ม พูดจาเอามันส์รักษาฐานคะแนนแบบส่งเดช ให้ท้ายคนชั่วส่งเสริมคนเลวระวังมันจะกลับมาทิ่มแทงตัวเอง ต่อให้เป็นชายที่แข็งแกร่งสุดในปฐพีแต่ถ้าคิดลองดีกับเรื่องนี้รับรองพังได้ง่ายๆ
/////////////////////