นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ว่าสถานการณ์ของไทยน่าเป็นห่วง อีกทั้ง สายพันธุ์เดลต้าที่เข้ามาใหม่มีการแพร่เชื้อที่เร็ว แต่การแพร่ระบาดในช่วงหลังจะมีการแพร่ระบาดจะอยู่ในพื้นที่แออัดอย่างเช่น โรงงาน และลามไปยังครัวเรือนมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล แต่เมื่อมีมาตรการปิดแคมป์ ทำให้ผู้ติดเชื้อเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งในต่างจังหวัดได้รับการประสานงานและควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะต้องติดตามดูในอีกสักระยะหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า หากประชาชนช่วยกันลดการแพร่เชื้อในระยะนี้ตัวเลขก็จะค่อยๆ ลดลง นอกจากนี้ยังต้องจับตาดูกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง เพราะอยู่ในช่วงที่อาจจะเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ มาตรการสำคัญคือเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงกลุ่มเปราะบางให้ได้มากที่สุด ซึ่งหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้วในคนกลุ่มนี้ รอประมาณ 2 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันก็จะขึ้นและจะลดอัตราการเสียชีวิตได้
ส่วนการจัดซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ได้มีการลงนามไปแล้ว 2 ฉบับ คือฉบับแรกเป็นการสัญญาในเรื่องของข้อมูลวัคซีน ฉบับที่ 2 เป็นฉบับจองวัคซีน และฉบับสุดท้ายคือ สัญญาการซื้อวัคซีน เนื่องจากการจัดซื้อวัคซีน ประมาณ 20 ล้านโดส ซึ่งเป็นจำนวนที่มาก และเงื่อนไขส่วนใหญ่บริษัทผลิตวัคซีนจะเป็นผู้ตั้งเงื่อนไข จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบระยะหนึ่ง และเมื่อสั่งซื้อไปแล้วก็จะพยายามเร่งรัดให้นำวัคซีนเข้าประเทศให้เร็วที่สุด ซึ่งทางบริษัทวัคซีนไฟเซอร์ ได้กำหนดระยะเวลาการส่งมอบไว้ในช่วงไตรมาสที่ 4
ดังนั้น ถ้าหากหยุดการระบาดไม่ได้ ก็ควรเร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุให้เร็วที่สุด รวมทั้งต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชน ในภาวะที่มีการระบาดเยอะ หากเดือนนี้ร่วมมือกันเต็มที่ก็จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้