หลังจากรอมานาน ล่าสุดพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ ม. ๑๕๑ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยวานนี้ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๖๕ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นญัตติต่อชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ในส่วนของรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายก็เป็นไปตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ นับรวมนายกฯด้วยก็เป็น ๑๑ คน ประกอบด้วย ก๊วน ๓ ป. บูรพาพยัคฆ์ ที่เที่ยวนี้มากันครบ “ป้อม-ป็อก-ตู่” ไล่ตั้งแต่ ๑.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ๒. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ๓. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พรรคพลังประชารัฐ ๓ คน ประกอบด้วย ๑. “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๒.สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ๓. “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน พรรคประชาธิปัตย์ ๓ คน คือ ๑. “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ๒. “เสี่ยไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ ๓.นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย พรรคภูมิใจไทย ๒ คน คือ ๑.“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ๒. “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
งานนี้จะเห็นได้ชัดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านเน้นอภิปรายแบบเหมาเข่ง หลังจากบวกลบคูณหารดูแล้วคงจนปัญญาที่จะล้มรัฐบาลคว่ำพล.อ.ประยุทธ์ได้ แรกเริ่มตั้งใจจะยิงลูกโดดเน้นไปที่กัปตันเรือแป๊ะอย่างบิ๊กตู่คนเดียว อาจพ่วงรัฐมนตรีที่มีข้อหาหนักอีกไม่กี่คนรวมแล้วไม่เกิน ๖ คน แต่หลังจากตกม้าตายพ่ายศึกแรกในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี ๒๕๖๖ วาระแรก ด้วยคะแนน ๒๗๘ ต่อ ๑๙๔ พรรคเพื่อไทยก็คงนกรู้ทักษิณก็เลยสั่งเปลี่ยนเกมส์ เพราะไม่อยากให้ศึกซักฟอกครั้งสุดท้ายของปีนี้และเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้โอกาสชำแหละพล.อ.ประยุทธ์สับรัฐบาลต้องเสียหายดายของ เที่ยวนี้จึงต้องอภิปรายแบบเหมาเข่งเน้นด่าแบบยกพวง หมัดน็อคคงไม่มีเต็มที่ได้แค่ช้ำเหมือนอย่างที่ “เฮียทิน” สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านออกมายอมรับจนปัญญาล้มบิ๊กตู่เต็มที่คงได้แค่ด่าเอามันส์ฝากรอยแผลป้ายมลทินเอาไว้ให้มัวหมอง ไล่เรียงแกะรอยเหตุผลซักฟอกแต่ละคนก็เบาหวิว เริ่มจากบิ๊กตู่งานนี้ฝ่ายค้านพุ่งเป้าเหมารวมความผิดพลาดในการบริหารประเทศ ๓ ปีเศษที่ผ่านมา “ ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน เป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน ขยายวงกว้างและรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ยาเสพติด การทุจริตคอรัปชั่น ประชาชนในชาติแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขยายวงกว้างขึ้นมากกว่าเดิม …..การใช้จ่ายงบประมาณมิได้คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง มุ่งแต่ก่อหนี้เพื่อแสวงหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยไม่สนใจต่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้สินต่อหัวของประชาชน ใช้งบประมาณเพื่อการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ไม่มีความจำเป็นต่อภารกิจของประเทศในภาวะที่ประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง”
หลักๆของบิ๊กตู่เที่ยวนี้ก็คงโดนเรื่องการกู้เงินมหาศาลหว่านใช้ไปกับโครงการประชานิยม สารพัดเรื่องหลากหลายโครงการของรัฐบาลเพื่อพยุงความนิยม อาทิ คนละครึ่ง ไทยเที่ยวไทย เราเที่ยวด้วยกัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือสินค้าเกษตร ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ รวมถึงการอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธที่ไม่ว่ายุคไหนสมัยใดพล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องถูกโจมตีเรื่องนี้อยู่แล้ว ด้านพี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม หลักใหญ่ใจความก็คงถูกอภิปรายในเรื่อง “บริวารเป็นพิษ” เพราะเป็นคนมีลูกน้องมาก เที่ยวนี้จึงโดนเรื่องคนใกล้ชิดหาผลประโยชน์ ที่คงไม่พ้นเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ตั๋วช้าง โรฮินยา ฯลฯ ขณะที่ของตัวเองจะมีที่โดนฝ่ายค้านเอามาวิจารณ์บ้างก็คงเรื่องของการหลีกเลี่ยงกฎหมายทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เช่นเดียวกับบิ๊กป๊อกที่โดนเรื่อง “การปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตภายในกระทรวงมหาดไทย รู้ว่ามีการทุจริตกลับไม่ระงับ ยับยั้ง หนำซ้ำยังรู้เห็นเป็นใจกับการทุจริต ทำให้ระบบราชการและประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง” กรณีป๋าป้อมกับบิ๊กป็อกน่าจะหวังดิสเครดิตให้ด่างพร้อยมากกว่า เพราะสองคนนี้เรื่อง “ใบเสร็จ” คงหายาก
ด้าน ๓ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ แรกเริ่มเดิมทีคิดว่ามีแค่ชัยวุฒิกับสันติเท่านั้นที่โดนขึ้นเขียง แต่ไปๆมาๆสุชาติก็โดนหางเลขจาก “ผู้มีบารมีนอกฝ่ายค้าน ” ที่เดาได้ไม่ยากว่าเสี่ยเฮ้งเคยงัดกับใครมาก่อน รอบนี้คู่อรินักการเมืองใหญ่คนดัง เลยจัดหนักจัดเต็ม แปลกแต่จริงที่ ๓ รายชื่อรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐล้วนเป็นคนที่เคยมีเรื่อง “เหยียบตาปลา” หรือ “เกาเหลา” กับขาใหญ่นักเลงการเมืองคนนี้มาก่อนทั้งสิ้น สันติเคยขบเหลี่ยมเรื่องแย่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ชัยวุฒิเคยฟัดกันเรื่องชักเข้าชักออกจะอยู่หรือไป ส่วนสุชาติก็คงแค้นฝังหุ่นสมัยอยู่ในพรรคกันมาเก่าก่อน แถมยังมาขบเหลี่ยมกันเรื่องช่วงชิงพรรคเล็กเอาใจส.ส.ตัวน้อยในช่วงที่ผ่านมา รอบนี้ทั้ง ๓ คน คือ “ชัยวุฒิ -สันติ-สุชาติ” จึงถูกสอยยกพวงให้ขึ้นเขียงทั้งหมด ไม่รู้เกี่ยวข้องว่าเคยเป็นโจทย์แค้นฝังหุ่นกันมาก่อนไหม แถมแต่ละคนก็ถูกฝ่ายค้านลับอีโต้รอไว้แล้ว ขณะที่ฝ่าย “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ออกมาขู่ฟ่อ “ชี้แจงให้ดีๆนะ พลังประชารัฐหนักทุกคน ยกเว้นพี่ป้อม ” ไล่เรียงกันไปเลยสำหรับเสี่ยโอ๋ ชัยวุฒิ ถูกข้อครหาปล่อยปละละเลยให้เกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำลายระบบเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง สนใจเอาผิดแต่เฉพาะกับกลุ่มบุคคล นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง บริวาร และพวกพ้อง นอกจากนี้ยังมีความประพฤติเสื่อมเสียทางศีลธรรมอันดี ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ประเด็นของเสี่ยโอ๋นอกเหนือจากการกวาดจับพวกด่าหยาบล้มล้างสถาบัน พวกเกรียนคีย์บอร์ด พวกนักรบห้องแอร์ในโลกออนไลน์แล้ว ยังมีเรื่องการประพฤติผิดศีลธรรมอันดีงามอีก ไม่รู้งานนี้ฝ่ายค้านไปได้ข้อมูลเด็ด เรื่องลับๆคาวๆอะไร ถึงเอามาจั่วหัวเรียกน้ำย่อยกันแบบนี้ ที่ล่าสุดเจ้าตัวยืนกรานแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน ไม่กังวลแถมเย้ยซ้ำฝ่ายค้าน เปิดตัวเป็นหนังบู๊แต่ตอนจบอาจกลายเป็นเรื่องเศร้า
ด้านสันติรอบนี้โดนสับแหลกเรื่องปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ในหน่วยงานที่กำกับดูแล เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ไม่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดูทรงตามนี้ก็คงไม่มีเรื่องอะไรนอกจากการประมูลเรื่องท่อส่งน้ำในโครงการอีอีซี ที่ถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย ที่งานนี้กลุ่ม ๑๖ ของพิเชษฐ สถิรชวาล และก๊วนพรรคเล็ก รวมถึงพรรคเศรษฐกิจไทยของผู้กองน่าจะจองกฐินเตรียมลับมีดไว้แล้ว ส่วนเสี่ยเฮ้ง สุชาติ รอบนี้เหมือนจะหลุดแต่ท้ายสุดถูกยัดชื่อติดบัญชีมาด้วย ที่เจ้าตัวรู้ชัดว่าใครเป็น “ไอ้โม่ง” ที่สอดไส้ชื่อให้ตัวเองถูกขึ้นเขียง “อย่างที่สื่อมวลชนได้เห็น ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อผม แต่มีการเพิ่มญัตติมาคนสุดท้าย ก็อาจจะมีคนที่มีอิทธิพลที่อยู่นอกพรรคฝ่ายค้านก็ได้” ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งชีวิต มวยเฮฟวี่เวทอย่างสุชาติไม่เคยกลัวรอบนี้ประกาศขอชนกันในสภา เพราะดูข้อหาแล้วจุ๋มจิ๋มเหมือนก็อปปี้ของคนอื่นมาวางตามคำขอของเพื่อนฝูง “ปล่อยปะละเลยให้มีการแสวงหาผลประโยชน์จากการนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ในการใช้ประโยชน์จากแรงงานโดยผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
ฝากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์รอบนี้โดนไป ๓ คน โดย จุรินทร์ ถูกตั้งแง่ “ ล้มเหลวและไร้ความรู้ความสามารถในการบริหารราชการของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงในกำกับดูแล ปล่อยให้ราคาสินค้าอุปโภค บริโภคสูงขึ้นจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน จนส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกหย่อมหญ้า” ไม่แคล้วโดนเรื่องปุ๋ยแพง หมูแพง ไก่แพง ข้าวของแพง น้ำมันแพง สารพัดสินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นราคา ส่วนนิพนธ์คนโตเมืองสงขลา รอบนี้ก็ถูกซักฟอกด้วยข้อหา “สนับสนุนให้มีการทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์ภายในหน่วยงานในกำกับดูแล ไม่ดำเนินการตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง และป้องกันการทุจริตจนทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง” ที่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเก่าสมัยเป็นนายกฯอบจ.สขลา ที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้อบจ.สงขลาชำระเงินให้กับเอกชนที่ชนะการจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทาง ๒ คันพร้อมดอกเบี้ย แต่นิพนธ์ไม่ยอมจ่ายเพราะตรวจสอบแล้วพบว่ามีการฮั้วกันระหว่างเอกชนที่ชนะการประมูลกับบริษัทคู่เทียบทำให้รัฐเสียประโยชน์ ด้านเสี่ยไก่ จุติ โดนกรณี “ ปล่อยให้ประชาชนขาดไร้ซึ่งที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ” เรียกว่าเบาหวิวเพราะบริหารงานมาไม่มีอะไรเสียหาย อาจจะมีเรื่องที่ไม่จริงจังในเรื่องการเอาผิดคนใหญ่ในพรรคของตัวเองที่ล่วงละเมิดทางเพศ และไม่ยอมช่วยเหยื่อที่ถูกคุกคาม เพราะคนทำผิดเป็นพวกเป็นฝ่ายตัวเองแต่เรื่องนี้ก็ดูเบามาก หรือไม่งั้นก็อาจจะเป็นเรื่องที่พม.เตรียมออกพ.ร.บ.การดำเนินกิจการขององค์การไม่แสวงหากำไร หรือพ.ร.บ.เอ็นจีโอ ที่ฝ่ายเห็นต่างมองว่าเป็นการรอนสิทธิภาคประชาสังคม แต่ก็ไม่น่าหนักหนาอะไรถึงขั้นต้องซักฟอก ทำไปทำมาหลายคนเลยคิดว่าเสี่ยไก่อาจกลายเป็นมวยแทน ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแทน “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เจ้าพ่อสามอ่าว ที่แรกเริ่มเดิมทีมีชื่อติดโผซักฟอกในฐานะเลขาฯพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ แต่ไม่รู้ไปใช้กำลังภายในอย่างไรไปวิ่งกับพรรคเพื่อไทยทางไหนที่สุดชื่อเฉลิมชัย หลุดโผและเป็นเสี่ยไก่มาแทน
ปิดท้ายที่พรรคภูมิใจไทยของเสี่ยหนู รอบ ๔ เทอม ๒ เที่ยวนี้มาเต็มๆ เพราะเป็นคู่อริโดยตรงกับพรรคเพื่อไทย อ่านญัตติที่เขียนมาอย่างชัด “ มีพฤติกรรมทำลายระบบการเมืองด้วยการรู้เห็นเป็นใจ สนับสนุนการใช้เงินและผลประโยชน์เพื่อมุ่งดึง ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นเข้าสังกัดกลุ่มการเมืองของตนโดยไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย และคุณธรรมทางการเมือง ทำให้ระบบการเมืองถอยหลังไปสู่ยุคการใช้เงินและผลประโยชน์สร้างฐานอำนาจทางการเมือง อันถือเป็นธุรกิจการเมืองที่ทำลายอุดมการณ์ประชาธิปไตย เปลี่ยนจากระบบคุณธรรมนำการเมืองเป็นใช้เงินและผลประโยชน์นำการเมือง …..ใช้งบประมาณแผ่นดินเกินความจำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ เกิดความเสียหายแก่งบประมาณของประเทศ มุ่งเอื้อประโยชน์ให้เพื่อนพ้องบริวาร แสวงหาประโยชน์จากตำแหน่งและหน้าที่ของตน” งานนี้เรียกว่าเละตุ้มเป๊ะ รับรองว่าเรื่อง “งูเห่า-งูฝาก” ไม่ต้องรอถอนแค้นกันนานถึง ๑๐ ปี เวทีซักฟอกรอบนี้แหละคงซัดกันแหลก ล่าสุดโหมโรงไปศรีสะเกษ ๑๘ มิ.ย.นี้ ชูสโลแกน “ไล่หนูตีงูเห่า” อุ๊งอิ๊งนำทัพเองมีเต้นปากหวานเป็นลูกหาบ นำร่องไปกระทืบคนแปรพักตร์ถึงถิ่นให้ราบคาบ ก่อนจะกลับมาปิดจ็อบเหยียบซ้ำในสภา เรื่องกัญชาก็คงเอามาขยี้เสี่ยหนูเพิ่มปมด่าได้อีกหลายประเด็นเช่นกัน ด้านเสี่ยโอ๋น้องรักพี่เน ณ บุรีรัมย์ รอบนี้น่าจะอ่วมอรทัยเพราะโดนไปหลายดอก ข้อหาที่ชงมาก็หนักๆทั้งนั้น “ดำเนินนโยบายโดยไม่คำนึงถึง ความคุ้มค่าในด้านการใช้จ่ายงบประมาณ ใช้งบประมาณโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและประโยชน์สาธารณะ ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสและงบประมาณมหาศาล ใช้ตำแหน่งกระทำการโดยทางตรงและทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในกระทรวงคมนาคม ….ไม่ดูแลให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม มีผลประโยชน์ทับซ้อนและกระทำการขัดกันแห่งผลประโยชน์” จับยามสามตาของศักดิ์สยาม หนีไม่พ้นเรื่องที่ดินเขากระโดง เรื่องประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีเขียว สารพัดเรื่องผลประโยชน์มหาศาลในกระทรวงหูกวาง
ย้อนอดีตเทอม ๒ บิ๊กตู่และครม.เรือแป๊ะ เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมา ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ ๒๘ ก.พ. ๒๕๖๓ พล.อ.ประยุทธ์ได้คะแนนไว้วางใจ ๒๗๒ เสียง ไม่ไว้วางใจ ๔๙ เสียง งดออกเสียง ๒ เสียง ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๐ ก.พ.๒๕๖๔ พล.อ.ประยุทธ์ได้คะแนนไว้วางใจ ๒๗๒ เสียง ไม่ไว้วางใจ ๒๐๖ เสียง งดออกเสียง ๓ เสียง ครั้งที่ ๓ เมื่่อ ๔ ก.ย.๒๕๖๔ พล.อ.ประยุทธ์ ได้คะแนนไว้วางใจ ๒๖๔ ไม่ไว้วางใจ ๒๐๘ งดออกเสียง ๓ เสียง จากนี้ก็ต้องมาลุ้นว่าซักฟอกรอบนี้จะมีอะไรตื่นเต้นให้ได้เห็นกันบ้าง ฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกแล้วบิ๊กตู่หมดสิทธิ์ยุบสภา ถ้าแพ้โหวตเวทีนี้ต้องลาออกกลับบ้านคนเดียวแบบเหงาๆ ฝ่ายค้านคอกทักษิณโหมโรงกันสุดๆ แต่ของจริงไม่รู้จะมีน้ำยามากน้อยขนาดไหน คราวก่อนหน้าแตกแผลยังไม่หาย รอบนี้ป่าวกระกาศ “เด็ดหัวสอยนั่งร้าน” เอาจริงจะกลายเป็นซักฟอกแบบขำๆเหมือนนั่งอ่านขายหัวเราะในห้องแอร์ เสียเวลาทำมาหากิน คาดอภิปราย ๑๘ -๒๒ ก.ค. วันจริงเมื่อไหร่อีกไม่นานคงได้รู้กัน รอบ ๔ ซักฟอกเที่ยวสุดท้ายของเรือแป๊ะไม่ห่วงประยุทธ์เลย กังวลฝ่ายค้านเสียมากกว่า เกรงว่าจะท่าดีทีเหลวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
//////////////////////////