วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 เวลา 12.30 น. อาสากู้ภัยมูลนิธิอุดรสว่างเมธาธรรมสถาน ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือจากประชาชนมีเหตุงูเหลือมยาว 3 เมตร ติดตาข่ายที่ทำเป็นไว้สำหรับเลี้ยงไก่ชน ด้านหลังกุฏิหมายเลข 19 อยู่บริเวณด้านหลังวัดป่าโนนนิเวศน์ ชุมชนโนนพิบูลย์ ถ.อุดรดษฎี ต.หมากแข้ง เขตเทศบาลนครอุดรธานี
ขณะตอนนี้มีพระลูกวัดและลูกศิษย์วัดล้อมจับควบคุมตัวงูเหลือมไว้รอ โดยลูกศิษย์วัดนำเชือกกล้วยมาคล้องที่คองูเอาไว้ เนื่องจากงูเหลือมตัวนี้มีนิสัยดุร้าย หากมีคนเดินผ่านจะพุ่งฉกกัดอยู่ตลอดเวลา หลังจากนำเชือกกล้วยมาคล้องที่คอ ตามคำคนโบราณบอกไว้ว่า งูเหลือมแพ้เชือกกล้วย ปรากฏว่างูเหลือมจากที่มีอาการดุร้ายกลับมาเชื่องเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด และหลังรับแจ้งอาสากู้ภัยมูลนิธิฯชุดหมองู รุดออกมาจับไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เริ่มจากใช้มีดตัดเชือกตาข่าย นำตัวงูออกมา และใช้ตลับเมตรมาวัดความยาวของงูที่หน้ากุฏิหมายเลข 19 ความยาวที่วัดได้ 3 เมตร พอดิบพอดี ก่อนจับยัดลงกระสอบปุ๋ย
พระกฤษดา สุทธสีโล อายุ 33 ปี พระลูกวัดที่พบงู เล่าว่า บวชมาได้ 3 พรรษา ก่อนพบงูอาตมาได้เดินมาตรวจสอบทางน้ำไหล ที่ไหลทะลักจากข้างนอกเข้ามาวัด และไหลเข้าไปข้างล่างกุฏิหมายเลข 19 เวลามีฝนตกหนัก และขณะที่เดินสำรวจอยู่นั้นเห็นงูเหลือมติดอยู่ที่ตาข่าย ที่ลูกศิษย์วัดทำไว้เลี้ยงไก่ชนประมาณ 2-3 ตัว รู้สึกตกใจอย่างมาก ทีแรกคิดว่าเป็นไม้ไผ่ แต่พอไปดูใกล้ถึงรู้ว่าเป็นงู จึงรีบแจ้งพระเจ้าของกุฏิ และลูกศิษย์วัดเจ้าของไก่ชนนำไก่ไปเก็บรักษาไว้ที่อื่น ก่อนโทรศัพท์แจ้งกู้ภัยมาจับ
ด้านพระโม ถิละจิตโต อายุ 32 ปี เล่าว่า เพิ่งบวชได้ 1 พรรษา และจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ โดยพักอาศัยอยู่ที่กุฏิหมายเลข 19 ก่อนเกิดเหตุตนเองและพระกฤษดาฯ ได้เดินสำรวจทางน้ำที่ทะลักเข้ามาด้านหลังกุฏิของตน และพระกฤษดาฯก็พบงูเหลือมติดตาข่าย และร้องบอกตนว่ามีงูติดตาข่ายเล้าไก่หลังกุฏิของตนเอง จึงเดินออกมาดูต้องตกใจ เพราะไม่เคยมีงูเหลือมเลื้อยเข้ามาในวัด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบเจอ คาดว่างูเหลือตัวนี้คงตามกินปลาเข้ามาในวัดเพราะบริเวณหลังวัดมีสระน้ำและมีปลาเยอะ เวลาน้ำท่วมปลาก็จะว่ายออกจากสระน้ำ และคิดว่าคงมีปลาอยู่ด้านล่างกุฏิ งูเลยเลื้อยตามปลามาหวังจับกินเป็นอาหาร แต่มาพบไก่ชนที่ลูกศิษย์วัดอาบน้ำให้ไก่ชนแล้วมาพึ่งแดดไว้ภายในตาข่าย เมื่องูพบไก่ชนหลายตัว จึงเลื้อยมุดเข้าไปในตาข่ายและทำให้หัวงูเหลือมติด ก่อนที่พวกอาตมาจะมาพบเจอ”.
ภาพ/ข่าว กฤษดา จันทร์ดวง ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.อุดรธานี