เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ ม.151 ที่น่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ ก่อนจะครบกำหนดวาระการทำหน้าที่ในวันที่ 23 มี.ค. 2566 เที่ยวนี้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ตั้งหัวจั่วชื่อการซักฟอกไว้ว่า “ยุทธการเด็ดหัว สอยนั่งร้าน” พุ่งเป้าอภิปรายนายกฯและแกนนำรัฐบาลรวมทั้งสิ้น 11 คน ไล่เรียงตั้งแต่นายกฯและก๊วน 3 ป. ประกอบด้วย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ส่วนที่เหลือเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน , สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง พรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข , ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พรรคประชาธิปัตย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์, จุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ถือเป็นด่านหินจุดอันตรายที่ 3 พล.อ.ประยุทธ์ในปีนี้
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ผ่านอุปสรรคสำคัญมาแล้ว 2 ด่านจากทั้งหมด 4 ด่าน ประกอบด้วย 1.การอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วาระแรก 2.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 3.การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และ 4.การตีความอายุการทำงานในตำแหน่งนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 ด่านหินที่ว่าพล.อ.ประยุทธ์สามารถกรุยทางผ่านบททดสอบยากมาได้แล้วกว่าครึ่งทาง เหลือด่าน 3 ในสัปดาห์หน้า ขณะที่ด่าน 4 เรื่องการนับอายุการทำงานไม่เกิน 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ตามที่ฝ่ายค้านเชื่อว่าจะสิ้นสุดในวันที่ 23 ส.ค.ก็ต้องรอลุ้นตีความกันในเดือนหน้า ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย พล.อ.ประยุทธ์จะได้ไปต่อหรือพอแค่นี้ อย่างไรก็ตาม 2 ด่านที่บิ๊กตู่ผ่านมาก่อนหน้านี้ก็ต้องบอกว่าผ่านไปได้แบบฉลุย ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 66 ก็ผ่านความเห็นชอบแบบทิ้งห่าง ส่วนกฎหมายลูกที่ผ่านมาก็สามารถแก้ลำกลับสูตรจากหาร 100 ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในชั้นกมธ.วิสามัญฯ เสียงข้างมาก มาเป็นสูตรหาร 500 แก้ทางแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยฝ่ายทักษิณไปได้แบบสบายๆ เพราะพรรคก้าวไกลดันถีบหัวส่งทรยศฝ่ายเดียวกันเอง
ส่วนศึกซักฟอกที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า ความจริงก็ไม่น่าจะมีอะไรเพราะดูตามเนื้อผ้าคะแนนของฝ่ายรัฐบาลเสียงในมือตอนนี้ต้องบอกว่าทิ้งกันขาด วัดจากตอนถกงบประมาณปี 66 วาระแรก คะแนนของฝ่ายรัฐบาลก็ชนะท่วมท้นถึง 278 คะแนน ฝ่ายค้านได้แค่ 194 คะแนน งดออกเสียง 2 คะแนน เรียกว่ากินขาดผ่านฉลุย แม้ล่าสุดสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังพรรคเศรษฐกิจไทยของ “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศถอนยวงจากการร่วมรัฐบาล ส่งผลให้ฝีพายบนเรือแป๊ะหายไป 16 คน จาก 278 เหลืออยู่แค่ 262 คะแนน ขณะที่ฝ่ายค้านได้เพิ่มไปเป็น 210 คะแนน แต่ก็ยังห่างจากเกินกึ่งหนึ่งคือ 237 คะแนนจาก 474 คะแนน ที่จะล้มบิ๊กตู่คว่ำรัฐบาลได้อีกมาก แม้จะรวมพรรคเล็กเข้าไปอีก 16 คน เสียงฝ่ายรัฐบาลก็ยังไม่ปริ่มน้ำ เพราะฝ่ายค้านจะได้ไปแค่ 226 คะแนนเท่านั้น หนำซ้ำก็เป็นเรื่องยากมากๆ เพราะในพรรคเล็กกลุ่ม 16 ถึงตอนนี้ก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ คนนึงบอกอยู่กับฝ่ายค้านอีกคนบอกอยู่กับรัฐบาล นัดหมายเข้าพบพล.อ.ประวิตร วันอาทิตย์นี้ 17 ก.ค. ณ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ก็คงอีหรอบเดิม คือ หารือศึกซักฟอกด้วยการจิบน้ำชา ตบท้ายด้วยผลไม้ล้างคอไม่พ้นกล้วย สุดท้ายปลายทางเชื่อว่าทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การคอนโทรลของผู้จัดการรัฐบาลอย่างบิ๊กป้อมได้ไม่ยาก
การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรจริงๆ อดีตปีสองปีก่อนพรรคเพื่อไทยเคยด่าร.อ.ธรรมนัสสาดเสียเทเสียสารพัดมาวันนี้จูบปากกันซะงั้น ย้อนเวลากลับไปช่วงร.อ.ธรรมนัสขึ้นเป็นเสนาบดีใหม่ๆ สื่อต่างชาติโจมตีเขาเรื่องพัวพันคดียาเสพติดในต่างประเทศ พรรคเพื่อไทยงับเหยื่อเอาเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักในการการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ช่วง 24-27 ก.พ. 2563 ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 6 รัฐมนตรีเรือแป๊ะ 1 ในนั้นมีร.อ.ธรรมนัสในฐานะรมช.เกษตรและสหกรณ์ร่วมอยู่ด้วย โดยตั้งข้อหา 1.ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล และ 2. ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในเวทีซักฟอก ร.อ.ธรรมนัสถูกฝ่ายค้านโจมตีอย่างหนักในประเด็นถูกตัดสินคดียาเสพติดในต่างประเทศ โดยมีการหยิบยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซ้าท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ 22 พ.ย.2562 เลขที่ 6044/94 และ 6034/94 ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งระบุถึงคำรับสารภาพของร.อ.ธรรมนัสว่า นำเข้าเฮโรอีนก่อนถูกพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี โดยกำหนดโทษเป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 4 ปี และระยะเวลาห้ามปล่อยตัวอีก 2 ปี งานนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านสหบาทายำผู้กองเละ ขณะที่เจ้าตัวแจงผิดแจงถูกลิ้นพันกันถึงขนาดหลุดปากว่าสารเสพติดที่ว่าเป็นแค่ “แป้งมัน” จนถูกสื่อตั้งฉายาให้เป็น “ผู้กองแป้ง” นับแต่นั้น
ถัดมาพรรคเพื่อไทยก็มีการนำประเด็นนี้ไปขยายผลโจมตีร.อ.ธรรมนัสพาดพิงไปถึงนายกฯอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร.อ.ธรรมนัสไม่ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีจากเรื่องนี้ เพราะคำตัดสินเป็นข้อกฎหมายนอกราชอาณาจักรไม่ได้พิพากษาโดยศาลไทย พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซัดแหลกว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญคดีคุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัสยิ่งสร้างกระแสความไม่พอใจเป็นวงกว้าง ประชาชนอยากเห็นการปฏิรูปทางการเมืองแต่กลับได้รัฐมนตรีเคยมีคดียาเสพติดเคยถูกจำคุกในต่างประเทศ สื่อหลักต่างประเทศเสนอข่าวไทยอนุญาตให้คนเคยติดคุกเรื่องยาเสพติดดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี อับอายไปทั่วโลก ขอเตือน พล.อ.ประยุทธ์หากยังคงให้ ร.อ.ธรรมนัสดำรงตำแหน่งอยู่ ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจของประเทศไทยยิ่งตกต่ำลงไปอีกจนเป็นติดลบได้
ร.อ.ธรรมนัสตกเป็นเป้าในช่วงนั้น กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ของรัฐบาล ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์โดนหางเลขถูกด่าไปด้วย พรรคเพื่อไทยตีกินประเด็นนี้ไม่หยุดแซะรัฐบาลอยู่หลายเดือน เอาคนด่างพร้อยมาร่วมงานเอาคนประวัติไม่ดีมาบริหารประเทศเอาผู้ต้องหาคดียาเสพติดมาเป็นเสนาบดี สารพัดคำถากถาง วันนี้ผ่านมาไม่กี่ปีแกนนำพรรคเพื่อไทยกลืนน้ำลาย เขียนด้วยมือลบด้วยเท้าจากที่เคยด่าร.อ.ธรรมนัสจนเสียหมามาวันนี้ยกย่องเทิดทูนมีค่าดั่งทองคำ สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ถึงขนาดออกมาเปรียบเทียบพรรคผู้กองตัวผู้กอง หลังการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลใต้ปีกพล.อ.ประยุทธ์ในทำนองว่า “ สำนวนไทยที่บอกว่า ทองคำถ้าอยู่ใกล้ตะกั่วก็จะหมอง” แค่เพียงสลับขั้วเป็นฝ่ายกูพวกกู จากอดีตที่เคยด่ากันยันเช้าโจมตีร.อ.ธรรมนัสสารพัดเรื่องชั่วช้าสามานย์ไม่มีใครเกิน มาวันนี้ลืมหมดพอผู้กองไขก๊อกจากรัฐบาลย้ายสลับข้างไปอยู่กับฝ่ายค้าน ถึงขนาดสรรเสริญเป็นทองคำล้ำค่า ถามว่าจุดยืนพรรคเพื่อไทยอยู่ตรงไหน ศักดิ์ศรีของพรรคมีหรือไม่ อย่างน้อยคำพูดของตัวเองในอดีตก็ควรรักษาไว้บ้าง ไม่ใช้พูดไปเรื่อยแบบนกแก้วนกขุนทอง
การเมืองวันนี้เห็นธาตุแท้ของพรรคต่างๆชัด พอสมประโยชน์ก็ดูดปากกันหวานชื่น เรื่องบ้านเมืองเอาไว้ทีหลัง อยู่คนละฝ่ายต้องเหยียบย่ำ กลับข้างมาเป็นพวกเดียวกันต้องเชิดชู ชั่วดีถี่ห่างอย่างไรกูไม่สน ถ้าอยู่ฝ่ายกูพวกกูทุกอย่างดีหมดทุกเรื่องถูกต้อง ลำพังตัวร.อ.ธรรมนัสชั่วโมงนี้ต้องบอกว่า เริ่มหมดราคา บารมีตกฮวบ ไปพรรคไหนก็คงยากอยู่กับใครก็ลำบาก ประกาศแตกหักจากรัฐบาลรอบนี้คงไปต่อไม่ง่าย เลือกตั้งรอบหน้าฐานคะแนนภาคเหนือและอีสานต้องฟัดกับพรรคเพื่อไทยแบบเต็มๆ แถมยังมีพรรคภูมิใจไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคพลังประชารัฐ มาเบียดอีก รอบก่อนส.ส.เขต 15 คน ชนะเลือกตั้งมาแบบเจียนไปเจียนอยู่เกือบ 1 โหล ลอยลำจริงๆมีแค่ 3 คน ในจำนวนนั้นมี ธรรมนัส กับ ไผ่ ลิกค์ ส่วนลูกพรรคที่เหลือต้องลุ้นกันชนิดปัสสาวะเหนียว บางคนทิ้งห่างหลักร้อย หลายคนช่องว่างแค่หลักพัน เลือกตั้งคราวหน้าโดนบี้อ้วกแตกแน่ กระแสประยุทธ์ก็ไม่มี อำนาจบารมีก็หดหาย ชื่อพรรคก็ขายไม่ได้ จะเอาอะไรไปชนะคู่แข่ง เสียงลือเสียงเล่าอ้างดังมาจากเซฟเฮ้าส์ป่ารอยต่อ ร.1 รอ. ข่าวว่า ก่อนหน้าแตกหัก มีบางคนสำนักผิดอยากขอโอกาสกลับพรรคอีกสักครั้ง แต่ก็ยังเรื่องเยอะยื่นเงื่อนไขสารพัด แถมเสี่ยงทำพรรคพลังประชารัฐแตก เพราะคนต้านมีเยอะไม่ชอบหน้ามีมาก ที่สุดลุงป้อมจึงตัดสินใจต่างคนต่างเดิน ใส่คอนเวิร์สทางใครทางมันก็แล้วกัน เท็จจริงไม่รู้ลองไปสืบดูกัน แต่เรื่องพรรค์อย่างนี้ไม่มีมูลหมาไม่ขี้
///////////////////////