เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ ม.151 ที่ถือเป็นศึกซักฟอกสุดท้ายของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เทอม 2 จะอุบัติขึ้น ระหว่างวันที่ 19-22 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตามช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 ก.ค.65) มีไฮไลต์สำคัญเกิดขึ้น ณ. มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายใน ร.1 รอ. ริมถนนวิภาวดีรังสิต ราว 16.00 น. “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย หนีบแกนนำพรรคพร้อมส.ส. อาทิ นายไผ่ ลิกค์ เลขาธิการพรรค นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายทะเบียนพรรค ฯลฯ เดินทางเข้าพบ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพื่อกราบลาหลังประกาศไขก็อกถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล จากนั้นถัดมาในเวลา 17.00 น. กลุ่มพรรคเล็กได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประวิตร เช่นเดียวกัน โดยใช้เวลาเข้าหารือเพียง 5 นาที ก่อนที่พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค หัวหน้าพรรคไทรักธรรม จะเปิดเผยกับสื่อที่ร้านเพลิน ซึ่งพรรคเล็กกับกลุ่ม 16 นัดคุยกันต่อว่า พล.อ.ประวิตรขอให้โหวตให้รัฐบาลไปในทิศทางเดียวกัน และเข้าใจว่าเสียงของรัฐมนตรีแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน แต่ขออย่าให้ห่างกันมาก
ชัดเจนว่าพรรคเศรษฐกิจไทยของผู้กองลาขาดจากการร่วมรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังร.อ.ธรรมนัสนำทีมส.ส.ไปกราบตักลาลุงป้อมแล้ว อย่างไรก็ตาม งานนี้หลายคนยังเชื่อว่าพรรคเศรษฐกิจไทยแม้จะลาขาดจากพล.อ.ประยุทธ์ไม่เอารัฐบาลเรือแป๊ะแล้ว แต่เชื่อว่าลึกๆผู้กองและลูกทีมยังมีเยื่อใยกับลุงป้อมเหลืออยู่อย่างแน่นอน ขนาดคนกันเองอย่าง นิโรธ สุนทรเลขา ประธานวิปรัฐบาล ยังมั่นใจว่าพรรคเศรษฐกิจไทย ดีเอ็นเอยังเป็นฝ่ายรัฐบาล และการเคลื่อนไหวทั้งหมดจากนี้ของพรรคก็จะเป็นตัววัดบารมีของพล.อ.ประวิตร เพราะว่าพื้นฐานของส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยก็มาจากพรรคพลังประชารัฐ มองตามที่นิโรธพูดก็แสดงว่าบารมีของบิ๊กป้อมยังมีน้ำยา พี่ใหญ่ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์น่าจะมีทีเด็ดในศึกซักฟอกหนสุดท้ายคราวนี้ พรรคเศรษฐกิจไทยอาจให้เอกสิทธิ์ส.ส. หรือ หาทางออกด้วยการงดออกเสียงหรือไม่ลงมติก็เป็นได้ ไม่ว่างมองมุมไหนพรรคเศรษฐกิจไทยก็คงไม่ได้กำไรมากเท่าไหร่กับการถอนตัวรอบนี้ เผลอๆแค่เท่าทุน ดีไม่ดีมองอีกมุมอาจขาดทุนก็เป็นได้ แม้ประกาศไปอยู่กับฝ่ายค้านแบบเต็มตัวแต่ก็ได้ประโยชน์จากการไขก๊อกไม่เต็มที่
ประกาศแรกตัดสินใจช้าเกินไป กล่าวคือ เวลาไม่เหมาะจังหวะก็ไม่ได้ เพราะมาทำภายหลังจากที่เลือกตั้งซ่อม เขต 4 จ.ลำปาง เสร็จสิ้นลงไปแล้ว หลังเข้าคูหากันเมื่อ 10 ก.ค.2565 และผู้สมัครของพรรคเศรษฐกิจไทยอย่าง วัฒนา สิทธิวัง ส.ส.เก่าพ่ายแพ้หลุดลุ่ยให้กับเดชทวี ศรีวิชัย ผู้สมัครโนเนมจากพรรคเสรีรวมไทย ไป 2.5 หมื่นคะแนน เพราะฉะนั้นการมาอ้างว่าแพ้เพราะชาวบ้านไม่เลือกพล.อ.ประยุทธ์ พ่ายเพราะคนไม่ชอบรัฐบาลเรือแป๊ะ คือ การหาแพะรับบาปหาข้ออ้างแก้ตัวให้กับพรรคพวกตัวเองแบบฟังไม่ขึ้น ทั้งๆที่ความจริงคนลำปางก็รู้ดีว่า ร.อ.ธรรมนัสกับพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นหอกข้างแคร่ อยู่คนละฝ่ายกับพล.อ.ประยุทธ์แจวเรือคนละทางกับรัฐบาลมานานแล้ว หากร.อ.ธรรมนัสมาอ้างข้างๆคูๆ ใส่ร้ายนายกฯ ป้ายสีรัฐบาลแบบนี้ ถ้าอยากพิสูจน์ว่าเป็นจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ก็ต้องประกาศถอนตัวจากรัฐบาลก่อนเลือกตั้งซ่อม และประกาศไปเลยว่าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่กับรัฐบาล จะได้รู้คะแนนจริงๆจากชาวบ้านเลยว่าเขาคิดยังไง
ประการที่สองการตัดสินใจมีขึ้นหลังจากที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และ พรรคพลังปวงชนไทย ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรี กำหนดรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายกันไว้แล้ว แบ่งเวลาแบ่งเรื่องของการซักฟอกไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ๆ ร.อ.ธรรมนัสกับพรรคพวกจะมา “ชุบมือเปิบ” ขอร่วมวงศ์ไพบูลย์สหาบาทาพล.อ.ประยุทธ์เชือด 11 รัฐมนตรีก็ดูจะกลายเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป กรณีนี้จึงถูกส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านออกมาดักคอ โดย ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.พรรคก้าวไกล ถึงขนาดออกมาพูดดังๆผ่านสื่อ กรณีที่จู่ๆพรรคผู้กองจะมาปาดหน้าเค้กขอขึ้นขบวนร่วมซักฟอกรัฐบาลด้วยคงทำไม่ได้ “ ที่ผ่านมา ยังไม่เคยคุยกัน จู่ๆจะปุ๊ปปั๊บมาอภิปรายเลยมันไม่ได้ ต้องคุยกันก่อนว่าได้หรือไม่ เพราะท่าทีของพรรคเศรษฐกิจไทยไม่มีความชัดเจน ต้องจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ….เท่าที่ทราบมาว่า ร.อ.ธรรมนัส ไม่ลงรอยกับ พล.อ.ประยุทธ์ มาระยะหนึ่งและค่อนข้างรุนแรง จึงมีท่าทีแบบนี้ แต่การเมืองที่บอกว่าขาดกัน 100% ความสัมพันธ์ของ ร.อ.ธรรมนัส กับ พล.อ.ประวิตร ก็ยังไม่ถึงขั้นขาดกันจริงๆ และ พล.อ.ประวิตร ก็เชื่อมโยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างแนบแน่นอีก ซึ่งในส่วนนี้จะบอกว่าขาดจริงๆ มันก็ต้องพิสูจน์ว่า ขาดได้จริงหรือไม่ เช่น การลงมติยืนข้างฝ่ายค้าน หรือ การอภิปรายอย่างเด็ดขาด โดยต้องแสดงให้เห็น แค่ท่าทีคงไม่เพียงพอว่ามาอยู่ฝ่ายค้านแล้ว ” ส.ส.ก้าวไกลตั้งป้อมถามร.อ.ธรรมนัสกับพรรคพวก หนำซ้ำล่าสุดไผ่ ลิกค์ก็ออกมายอมรับแล้ว มาทีหลังได้แค่นั่งดูหมดสิทธิ์ยืนลุกขึ้นอภิปราย
ประการที่สาม ความพยายามของผู้กองที่ตั้งใจจะดึงกลุ่ม 16 และก๊วนพรรคเล็ก 16 คน เมื่อจับมือกันแล้วจะได้สูตรส.ส. 32 คน กลายเป็น “ตัวแปร” ทางการเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญ ชนิดชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลได้ แต่ทำไปทำมาผ่านมา 2 เวที 2 ศึกใหญ่แล้ว แต่บรรดาพรรคเล็กก็แสดงออกชัดเจนว่าอยู่กับรัฐบาลเอียงข้างพล.อ.ประยุทธ์ ครั้งแรกก็ตอนอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2566 วาระแรก ที่รัฐบาลก็ชนะขาดผ่านฉลุยด้วยคะแนนท่วมท้น ผสมกับมี “งูเห่า-งูฝาก” สวิงโหวตมาช่วยอีกแรง ครั้งที่สองก็ตอนกลับสูตรคำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อจาก100 หาร มาเป็น 500 หาร ฝ่ายรัฐบาลก็ชนะขาดลอยแบบเลนด์สไลด์ รอบ 3 ร.อ.ธรรมนัสหวังคุยพรรคเล็กคว่ำนายกฯล้มรัฐบาลให้ได้ แต่ล่าสุดก็ถูกลุงป้อมเรียกส.ส.พรรคเล็กเข้าค่าย ร 1รอ. จิบน้ำชากินของว่างทานผลไม้ ใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็เรียบร้อยโรงเรียนป้อม พรรคเล็กกลุ่ม 16 ประสานเสียงยืนกรานหนุนรัฐบาล เป้าหมายที่ผู้กองจะชวนพรรคเล็กกลุ่ม 16 มาเป็นพันธมิตร ตามโมเดล 32 ส.ส. สุดท้ายก็ล่องจุ๊นเพราะโดนบารมีของบิ๊กป้อมกลบหมด แถมพรรคเพื่อไทยยังหาเรื่องพรรคเล็กชนิดด่ากันแหลกอีก หลังธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.โฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาเปรียบเทียบพรรคเล็กเหมือนปรสิตกัดกินประชาธิปไตย จนพีระวิทย์ต้องออกมาสวนให้เกียรติกันบ้าง เพราะนิสัยแบบนี้ไงเลยเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยตลอด อภิปราย 10 ปี 10 ชาติก็ไม่สามารถล้มนายกฯคว่ำรัฐบาลได้ งานนี้ฝันที่ร.อ.ธรรมนัสหวังว่าจะ “ปัง” เลยกลายเป็น “พัง” แทน
สุดท้ายปลายทางอนาคตของร.อ.ธรรมนัสกับพรรคเศรษฐกิจไทย เหมือนกลับไม่ได้ไปไม่ถึง “รัฐบาลก็ไม่ใช้ ฝ่ายค้านก็ไม่ให้ที่ยืน” ซ้ายก็ไปไม่ได้ ขวาก็ไปไม่ดี ครึ่งๆกลางๆ ไปได้ไม่สุด เรื่องเฉพาะหน้าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทางพรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอมเปิดช่องให้พูด พรรคก้าวไกลก็ไม่ไว้ใจให้อภิปราย เพราะบทบาทที่ผ่านมาร.อ.ธรรมนัสเล่นเหยียบเรือสองแคม ทางนี้ก็รับทางนู้นก็เอา รัฐบาลก็รู้เช่นเห็นชาติฝ่ายค้านก็เห็นนิสัยเข้าใจสันดาน ศึกซักฟอกเที่ยวสุดท้าย อุตส่าห์กระโดดจากเรือแป๊ะมาอยู่ฝ่ายตรงข้ามหวังได้เป็นผู้เล่น แต่แทนที่จะได้โชว์ฝีปากลับลูกคอกลางสภา ดูทรงแล้วอาจเป็นได้แค่ “กองเชียร์” มีแววนั่งดูเพื่อนพูดสูง เต็มที่สุดท้ายได้แค่โหวตไม่ไว้วางใจแต่ระหว่างทางแสดงออกไม่ได้
ตอนนี้ก็ต้องลุ้นว่าพรรคเพื่อไทยจะเห็นใจปันเวลาโยนเศษเนื้อมาให้บ้างไหม เพราะล่าสุดก็ออกมายกย่องจาก “แป้ง” กลายเป็น “ทอง” ถ้าสุกสกาวแวววาวดั่งทองนพเก้าจริงพรรคเพื่อไทยก็คงเฉือนเวลามาให้ แต่ถ้าเป็นแค่คำพูดยกยอโวหารหาพันธมิตรทางการเมืองเที่ยวนี้ก็พิสูจน์ใจกันได้ นับนิ้วตอนนี้เดือน 7 ก.ค. เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะนับถอยหลังเข้าโหมดเลือกตั้งแล้ว ผู้กองจะเอาเวลาตอนไหนไปสร้างผลงาน ถอนยวงจากรัฐบาลออกมาแล้วโอกาสได้โควต้าเสนาบดีสร้างผลงานโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งก็จบเห่ ส.ส.ในมือก็หร่อยหรอเหลือเป็นองค์ประชุมแค่ 16 คน 3 คนเป็นบัญชีรายชื่อ 13 คนที่เหลือเป็นส.ส.เขต เลือกตั้งที่ผ่านมาลอยลำ 3 คน อีก 10 คนมีทั้งชนะแบบเส้นยาแดงผ่าแปด เฉือนแบบต้องลุ้น เข้าสภาแบบต้องบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เที่ยวหน้าจาก 16 คนจะเหลือเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เดินไปหน้ารัฐบาลก็ไม่รับพรรคพลังประชารัฐก็เอากลับบ้านเก่า คนอื่นอาจมีโอกาสกลับได้แต่ร.อ.ธรรมนัสปิดประตูคืนรัง ถอยหลังกลับบ้านเก่าซบพรรคเพื่อไทยอย่าคิดว่าเขาจะอ้าแขนรับ พรรคเพื่อไทยมีตั้งหลายมุ้งขึ้นชื่อว่าเป็น “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” ใครจะไว้ใจให้เข้าไปเป็น “เนื้อใน” เข้าไปทำ “การใหญ่” ในพรรค เลือกทางผิดชีวิตเปลี่ยน ทำตัวเองแท้ๆ เลยครับผู้กอง
///////////////////
