ได้ชื่อว่าเป็น “ป๋า ป.” ผู้มีบารมีแห่งมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด สำหรับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เจ้าของตำแหน่งผู้จัดการรัฐบาลตัวจริงเสียงจริง ที่ชั่วโมงนี้ดูทรงแล้วอาจไม่คิดอยู่แค่ตำแหน่งนี้ไปจนตาย หลังปะติดปะต่อหลายเหตุการณ์เข้าด้วยกัน มองยาวๆมองไกลๆ ไม่ต้องเป็นคอการเมืองก็พอจะมองออกว่าพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์กำลังคิดการใหญ่ เป้าหมายปลายทางก็อย่างที่รู้ ขึ้นแท่นสร.1 บันทึกชื่อเป็นนายกฯคนต่อไปของประเทศไทย
พล.อ.ประวิตร เกิด 11 ส.ค. 2488 อีกไม่กี่วันจะครบวันคล้ายวันเกิดย่าง 77 ปี ที่วันนี้เจ้าตัวมีครบทุกอย่าง ทั้งเงิน บารมี อำนาจ สมุนบริวาร ขาดก็แต่ “วาสนา” เท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง จึงไม่สามารถขึ้นสุดถึงยอดตึกไทยคู่ฟ้า ครองทำเนียบรัฐบาลได้ แต่ปีนี้-ปีหน้าดูเหมือนจะเป็นโอกาสลุ้นดีที่สุดหากจะคิดอ่านทำการใหญ่ ชัดเจนว่าเป้าหมายของคนข้างกายพี่ใหญ่ ที่ล้วนเป็นพวก “ลูกขุนพลอยพยัก” มีอยู่อย่างเดียวคือต้องการผลักดันพี่ใหญ่ป้อมให้เป็นนายกฯ เสียที เพราะรอโอกาสมานานหลายปี รอบนี้โอกาสทองน่าจะมาถึง เพราะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม กำลังเจออุปสรรคหลายด่าน ประการแรกต้องลุ้นตีความการทำหน้าที่นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ม.158 วงเล็บ 4 ว่าที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะติดสินการเป็นนายกฯ 8 ปีออกมาแบบไหน หลังฝ่ายค้านมองว่าจะครบกำหนดห้ามเป็นนายกฯเกิน 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค.2565 นี้
แต่ฝ่ายสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์มองว่าจะครบ 8 ปียังมีเวลาอีกนาน ถ้านับตามการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ก็ต้อง 5 เม.ย.2568 หรือถ้านับตาม รัฐธรรมนูญ ม.158 ให้ถูกต้องครบถ้วนทั้งกระบวนความของที่มาในการเป็นนายกฯ ก็ต้องเป็น 8 มิ.ย.2570 เพราะฉะนั้นยังมีเวลาอีกบานเบอะให้ไปต่อ ประการที่สองกระแส “เบื่อนายกฯ” ที่ผู้นำประเทศทุกคนที่อยู่นานทำงานหลายปีก็ต้องเจอเรื่องนี้หมด ไม่ว่าจะเป็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ชวน หลีกภัย ทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฯลฯ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่พ้นวัฏจักรนี้ หลังเป็นนายกฯมา 7 ปีเศษแล้ว แถมการเป็นนายกฯสมัยสองรอบนี้ ยังเจอ “โคตรมหามรสุม” มากมายที่คงไม่มีผู้นำประเทศคนไหน เจอหนักเท่า ทั้งโควิด-19 ไวรัสล้างโลก เกือบ 3 ปี ต่อด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ร่ำๆจะต่อด้วยจีนกับสหรัฐฯอีก ฯลฯ ส่งผลให้เกิดปัญหาหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งราคาน้ำมันแพง ตรงนี้เลยกลายเป็นตัวเร่งให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบไปโจมตีเรียกร้องให้บิ๊กตู่ลุกออกจากเก้าอี้ผู้นำไปได้แล้ว
ห้วงเวลานี้จึงกลายเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการรุกไล่พล.อ.ประยุทธ์ให้พ้นทางพี่ใหญ่ป้อมไปเสียที คนที่เป็น “ไอ้โม่ง” คิดการใหญ่ฝันใฝ่เรื่องสูงเกินตัวแบบนี้ ข้างกายพล.อ.ประวิตร ใครอยู่ในแวดวงการเมืองหรือเป็นแฟนพันธุ์แท้คอการเมืองย่อมรู้ดี พล.อ.ประวิตรมีเบอร์ใหญ่ใกล้ตัว 2 คน หนึ่งคือเพื่อนซี้ตท.6 เป็น “พล.อ.” ที่เป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก กินอยู่หลับนอนกับบิ๊กป้อมมาตลอดชีวิต ส่วนอีกคนก็เป็นอดีตนายตำรวจใหญ่คับกรมปทุมวันยศ “พล.ต.อ.” บิ๊กสีกากีคนนี้เป็นเจ้าของรหัส “ ป.ที่4” ผู้มีบารมีนอกรัฐบาล ทั้งคู่เป็นตัวเอ้ในสภาสูง คุมเสียงส.ว.ข้างบิ๊กป้อมมาตลอด และเป็น 2 คีย์แมนสำคัญที่คิดแผนการล้มนายกฯคว่ำบิ๊กตู่มาตลอด เท็จจริงเรื่องนี้อาจไม่มีใบเสร็จยืนยัน ไร้หลักฐานเอาผิดได้แบบคาหนังคาเขา แต่จับอาการที่เปลี่ยนไปของพล.อ.ประวิตร ดูพฤติการณ์ทางการเมืองของบรรดาส.ส.และสว. ฝ่ายลุงป้อม คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยจริงๆ นอกจากซ่องสุมกำลังวางแผนกันปูทางให้พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็นใหญ่ในใต้หล้าแบบนั้นจริงๆ
ความจริงมีเหตุการณ์มากมายมีสิ่งบอกเหตุหลายอย่างเกี่ยวกับแผนการล้มน้องตู่หักเก้าอี้พล.อ.ประยุทธ์ ไล่เรียงเป็นวันๆก็ไม่หมด เอาใกล้ที่เห็นชัดๆมาสองสามกรณี เรื่องแรกคือรอยร้าวใน 3 ป. “รักกันแต่ไม่มีวันเหมือนเดิม” เห็นได้ชัดว่าระยะหลังความรักของพี่น้อง 3 ป. ลดน้อยลงไปมาก แต่ปากยังพูดรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่สิ่งที่พล.อ.ประวิตร ทำกับ 2 น้องทั้งพล.อ.อนุพงษ์และพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องที่ยากทำใจยอมรับได้จริงๆ กรณีของพล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนว่าลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาพรรคเศรษฐกิจไทยของ “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคลงมติไม่ไว้วางใจ ถามว่าพล.อ.ประวิตรเป็นพี่ใหญ่เป็นคนดูแลพรรคนี้เป็นผู้มีบารมีคุมกะลาหัวผู้กองทำไมปล่อยให้คะแนนตัวเองพุ่งโด่งแต่ของน้องเล็กอย่างพล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำน้อยนิด ตั้งใจเอามาเปรียบเทียบหรือเอามาเทียบเคียงกันถามว่าพล.อ.ประวิตรคิดอะไรอยู่ ส่วนของพล.อ.อนุพงษ์ที่หนักกว่าไฟเขียวให้ส.ส.ก๊วนปากน้ำในพรรค โหวตสวนมติพรรค ยกมืออภิปรายไม่ไว้วางใจมท.1 เล่นแง่คว่ำบิ๊กป๊อกกันดื้อๆ หนำซ้ำเสร็จศึกยังให้ท้ายลงพื้นที่ปากน้ำไปอวยยศกันสุดๆ พล.อ.ประวิตรถึงขั้นประกาศบนเวทีจะให้เก้าอี้รัฐมนตรีกลุ่มปากน้ำตอบแทนบ้านใหญ่สมุทรปราการเพราะกวาดส.ส.เข้ามายกจังหวัด ฝ่ามติพรรคฝืนคำพูดตัวเองคว่ำพล.อ.อนุพงษ์แทนที่จะเอาผิดลงโทษแต่ดันมาให้ท้าย 6 ส.ส.ไปเสียนี้ แถมอนาคตยังจะยกเก้าอี้เสนาบดีตอบแทนให้อีกถ้ามีการปรับครม.
ปิดท้ายเรื่องสูตรคิดคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อที่งัดกันมาตลอดทางตั้งแต่ชั้นกมธ.วิสามัญ ที่ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ยืนกรานต้องหาร 500 หากจะชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากจะหยุดแลนด์สไลด์ฝ่ายทักษิณบล็อกพรรคเพื่อไทย แต่ฝั่งพล.อ.ประวิตรอยากจะได้สูตรหาร 100 สู้กันมาทุกยกงัดกันมาทุกเวที ในชั้นกมธ.วิสามัญฝ่ายพล.อ.ประวิตรชนะเพราะเป็นเสียงข้างมากเลยยืนที่สูตรหาร 100 จากนั้นในที่ประชุมร่วม ส.ส.และสว. ฝั่งพล.อ.ประยุทธ์ก็มาชนะจนได้กลับลำมาที่สูตรหาร 500 แถมนายกฯปิดห้องคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลตกผลึกกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะเอาสูตรนี้เป็นธงเป็นร่มของฝ่ายรัฐบาล อาจทำให้บางพรรคได้ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยไปบ้างหรือไม่ได้เลย แต่ร่มใหญ่ปลายทางจะได้กลับมาเป็นรัฐบาล เพราะบล็อคทักษิณหยุดพรรคเพื่อไทยได้แน่นอน คุยกันมั่นเหมาะตกปากรับคำกันเป็นอย่างดี แต่จู่ๆก็มีใบสั่งให้กลับหลังหันยูเทิร์นกลับมาที่สูตรหาร 100 อีกครั้ง รอบนี้มีการใช้วิชามารสารพัดทั้งเสนอกฎหมายพ.ร.บ.ปรับเป็นพินัยมาขวาง การพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมแบบเชื่องช้าเหมือนเต่าคลาน กะให้เวลาวันประชุมร่วมสองสภาร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จากเดิมที่มีเหลือเฟือถึง 4 วันคือ 2-3 ส.ค. กับ 9-10 ส.ค.
ขณะที่ฝ่ายสภาสูงที่มีพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสว.ก็ออกมารับลูกกับขบวนการล้มสูตรหาร 500 ก่อนหน้านี้เคยถึงขั้นรับปากว่าจะเจียดวันที่ 9 ส.ค.ให้เป็นเวลาของการประชุมร่วมรัฐสภารับปากในสภาต่อหน้านายชวน แต่จู่ๆวันดีคืนดีกลับบอกว่าสว.มีกฎหมายค้างอีกมาก มีระเบียบวาระที่ต้องคุยกันอีกเยอะ เด็กเลี้ยงแกะเข้าสิงเอาดื้อๆ สุดท้ายวันประชุมร่วมหดจนเหลือแค่หางจิ้งจกมีเวลาพิจารณาสูตรหาร 500 เหลือแค่ 1 วันคือ 10 ส.ค. มาบรรจุเอาท้ายสุดหวังให้เกิดอุบัติเหตุวางแผนให้ไม่ทัน 15 ส.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นเส้นตายในการพิจารณากฎหมายลูกให้ต้องแล้วเสร็จภายใน 180 วัน ตามรัฐธรรมนูญ ม.132 (1 ) ไม่งั้นก็ต้องกลับไปใช้ร่างพ.ร.บ.ที่เสนอตาม ม.131 ก็คือร่างของครม. นี้คือความพยายามจับมือกันทำแท้ง กฎหมายลูกสูตรหาร 500 ย่างเลวร้ายเพราะรับลูกต่อกันมาเป็นทอดๆ แถมล่าสุดนิโรธ สุนทรเลขา ประธานวิปรัฐบาลยังออกมารับลูกหน้าชื่นตาบานว่า 10 ส.ค.นี้ ส.ส.เขตอาจไม่สะดวกมาประชุม เพราะติดร่วมงาน “วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน” ที่ต้องลงพื้นที่ไปร่วมงานทั้งวัน ส่วนอรรถกร ศิริลัทยากร เลขาฯวิปรัฐบาลก็ออกมาพูดยิ่งชัด พรรคพลังประชารัฐไม่ได้บังคับให้ใครจะมาร่วมหรือไม่ร่วมประชุมสภา 10 ส.ค.นี้ ชัดเจนสุดๆว่าลอยแพสูตรหาร 500 แล้ว
เป้าหมายไม่ใช่แค่เอาชนะสูตรเลือกตั้ง แต่เบื้องหลังคือบีบทางเดินกลับไปเป็นนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ให้แคบลง กลับไปใช้สูตรหาร 100 มีแต่พรรคใหญ่เท่านั้นที่จะเข้าวิน พรรคเล็กพรรคน้อยสูญพันธ์ตายกันหมด หลายเรื่องหลายราวที่เหลาไป ถ้าพล.อ.ประวิตรไม่คิดการใหญ่คงไม่เดินเกมส์แบบนี้ ทำลายล้างพี่น้องด้อยค่า 3 ป. คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากบิ๊กป้อมอยากเล่นบทพระเอกเสียเอง ประยุทธ์หนึ่งเป็นรองนายกฯรับบทพระรองเพราะน้องเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ประยุทธ์สองเป็นหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นฐานรากให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เลือกตั้งเที่ยวหน้าพี่ใหญ่คงอยากลองลิ้มชิมรสเป็นสร.1 บ้าง ไม่งั้นไม่เตะตัดขาเถรกวาดลานพล.อ.อนุพงษ์กับพล.อ.ประยุทธ์แบบนี้ รักอมตะของ 3 ป.ที่ไม่แยกไม่แตกันจนวันตายคงเป็นแค่นิยาย ทำไมทำมาเหมือนย้อนอดีตไปสู่ยุคแห่งอำนาจของ “จอมพลป. – จอมพลสฤษดิ์ -พล.ต.อ.เผ่า” รักกันช่วยเหลือกันแทบตาย สุดท้ายก็ห่ำหั่นทิ่มแทงกัน พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเข้าอีหร่อบนี้ ถ้ายังไม่หูตาสว่างมีหวังพังพินาศพร้อมกัน ขณะที่พรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ตั้งพรรคมาดูท่ามีแต่เสื่อมทรุด สาละวันเตี้ยลงไปทุกวัน ปีนี้ถึงขนาดด้อยค่าตัวเอง จะทำสภาล่มจะล้มกฎหมายลูกสูตรหาร 500 ถึงขั้นยอมจับมือกับพรรคเพื่อไทย ทำการทุรยศต่อสภา เสียดายเวลา เสียดายภาษี อุตส่าห์ทุ่มเทกันมาเกือบ 180 วัน จู่ๆจะมาเททิ้งกันแบบง่าย ๆ ผลงานพรรคพลังประชารัฐไม่มีอะไรจับต้องได้ เข้ามาเล่นการเมืองเพียวๆ ทำแต่เรื่องรับใช้หัวหน้า ช่วงชิงแก่งแย่งอำนาจ ความเดือดร้อนชาวบ้านทุกข์ร้อนคนไทยไม่เคยหยิบยกเอามาพูด อนาคตมีแต่เสื่อทรุดชำรุดไปหน้า ถ้ายังไม่เมาหมัดไม่รู้ว่าใครคือคนที่จะกู้วิกฤติพรรครับรองเลือกตั้งคราวหน้าร้อยก็ไม่ถึง เผลอๆต่ำ 50 เพราะห่วงแต่เล่นการเมืองทิ้งชาวบ้าน ไม่เชื่อก็คอยดูอีกไม่กี่เดือนคนไทยจะให้คำตอบเอง
////////////