วันที่ 10 ส.ค. ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 13 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. …. ในมาตราที่เหลือไปอย่างราบรื่นจนครบทั้ง 12 มาตรา ก่อนจะโหวตลงมติเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยคะแนนเห็นด้วย 442 ไม่เห็นด้วย 6 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 6 เสียง
จากนั้นเวลา 10.45 น. ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแล้วเสร็จต่อในมาตรา 24 วาระ 2 และลงมติในวาระ 3 นั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลุกขึ้นหารือว่า ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณาร่างฎหมายดังกล่าว ตนขอเสนอญัตติตรวจสอบองค์ประชุม เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นร่างที่มีความสำคัญมากต่อประเทศชาติ ประชาชน และระบอบรัฐสภา เมื่อเราพิจารณามาถึงมาตรา 24 ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 23 มาตราเรามีความเห็นแตกต่างกันเยอะมาก ความเห็นแย้งอยู่ในหมู่พวกเราทั้งสองฝ่ายชัดเจนหลังจากที่รัฐสภามีมติเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมการเสนอคำแปรญัตติการสงวนความเห็นของเสียงข้างน้อยให้กลับมาใช้การคำนวณส.ส.ด้วยการหาร 500 ที่เปลี่ยนจากระบอบเดิมในร่างกฎหมายหลักที่หารด้วย 100 ทำให้มีความเห็นแตกต่างกันมาก ดังนั้นก่อนจะพิจารณากฎหมายฉบับนี้ องค์ประชุม และความเห็นของสมาชิกมีความสำคัญมาก จึงมีความจำเป็นต้องตรวจสอบองค์ประชุมเพื่อให้เกิดความชัดเจน การใช้องค์ประชุมไม่สามารถดำเนินการไปได้ เป็นสิทธิเสียงข้างน้อยที่จะบอกกล่าวเสียงข้างมากเพื่อระงับยับยั้งการกระทำที่เราเห็นว่าไม่ชอบ โดยเฉพาะไม่ชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และยังมีการก้าวล่วงการแบ่งแยกอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงในสภาฯ ดังนั้นเราต้องตรวจสอบองค์ประชุมให้ชัดเจนว่ามีเสียงข้างมารองรับการพิจารณาหรือไม่ ท่านอย่าเอาเรื่องการลงมติตามใบสั่งกับเรื่องการมานั่งเป็นองค์ประชุมมาเป็นเรื่องเดียวกัน