นับจากวันนี้ 18 ส.ค.2565 เหลือเวลาอีกแค่ 5 วัน ก็จะครบกำหนดการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม หากนับตาม “ความเชื่อ” และ “ความต้องการ” ของพรรคฝ่ายค้าน กลุ่มเห็นต่าง ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมองและนับว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯวันแรกตั้งแต่ 24 ส.ค.2557 เพราะฉะนั้นหัวเด็ดตีนขาดอย่างไร 23 ส.ค.2565 ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะเป็นวันสุดท้ายในการทำหน้าที่นายกฯไม่เกิน 8 ปี ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 4 “ นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง”
กลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดนี้ประกอบด้วยพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ที่ล่าสุด ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ประธานวิปฝ่ายค้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ได้ร่วมกันยื่นหนังสือถึงมือ ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ ใน 2 ประเด็น คือ 1. ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ม.170 วรรค 2 และ ม.158 วรรค4 และ 2. ให้พล.อ.ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ในส่วนกลุ่มคนที่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็มี 1. กลุ่มปัญญาชนและพลเมืองไทยจำนวน 99 คนที่ออกมาเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกก่อน 23 ส.ค.2565 2. บรรดาอาจารย์นิติศาสตร์ จำนวน 51 คน จาก 15 มหาวิทยาลัย ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณี การนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งของนายกฯ ต้องเป็นอิสระจากผู้มีอำนาจและการใช้กฎหมายในการตัดสินต่อทุกคนอย่างเสมอกัน 3. ชมรมแพทย์ชนบท ออกแถลงการณ์ “8 ปีแล้ว พอเถอะนะ” เนื้อหาใจความ ประเทศไทยยังมีคนดีคนเก่งที่สามารถทำหน้าที่นายกฯ ได้จำนวนไม่น้อย ขอให้พล.อ.ประยุทธ์มีสำนึกประชาธิปไตย ก้าวลงจากตำแหน่งตามกติกาอย่างคนรู้จักพอ เปิดทางให้เมืองไทยเดินไปข้างหน้า เปิดโอกาสให้ประชาธิปไตยได้เติบโต แนวคิดของคนกลุ่มนี้อ้าง “เจตนารมย์” ของการร่างรัฐธรรมนูญมาเบรกพล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ไปต่อ เพราะถือว่าทำหน้าที่มา 8 ปีแล้ว แม้ครั้งแรกจะมาด้วยรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ม.19 แต่ก็ถือว่าเป็นนายกฯแล้ว เหตุผลหลักที่สนับสนุนความคิดนี้ก็คือการนำเอาบันทึกการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.แสดงความเห็นว่าครม.ก่อนหน้านี้ประกาศรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ให้ถือว่าเป็นครม.ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับบนี้เช่นกัน คล้ายๆเนื้อหา รัฐธรรมนูญ ม.264
แนวคิดที่สองของการนับอายุนายกฯคือให้ยึดตามปีที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นที่ตั้ง คือเริ่มนับตั้งแต่ 6 เม.ย.2560 เพราะฉะนั้น 8 ปีนายกฯ ก็จะเป็นวันที่ 5 เม.ย.2568 คือเหลือเวลาอีก 2 ปีเศษ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เห็นควรนับแบบนี้ก็มี นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ยืนกรานว่า การนับวาระนายกฯ ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่มีบทบัญญัติใน ม. 158 วรรค 4 ที่ว่าดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ส่วนคำว่า 8 ปีนับตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 จะไปนำเอารัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2557 จะนำมาใช้เมื่อปีรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้ “ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 264 ไม่ได้ระบุว่าให้นำรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาใช้ด้วย ดังนั้น อายุการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องเริ่มต้นนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 คือวันที่ 6 เม.ย.2560 ซึ่งจะครบ 8 ปีในวันที่ 5 เม.ย.2568” สดศรีระบุ แนวคิดแบบนี้คือการคิดที่เรียกว่า “เจอกันครึ่งทาง” ยึดเอาการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ การมีกติกาเป็นที่ตั้ง กติกาใช้เมื่อไหร่ให้นับตั้งแต่ตอนนั้น ฝ่ายค้านก็ได้ไม่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ไม่ครบ วินวินทั้งสองฝ่าย หรือได้กันคนละครึ่งทาง ที่เรื่องการนับวาระแบบนี้ไปสอดคล้องกับคำพูดที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เคยหลุดปากออกมาแล้วว่า “นายกฯอยู่อีก 2 ปี” ก็คงตีความในลักษณะแบบนี้เหมือนกัน และใกล้เคียงกับสิ่งที่ “ด็อกเตอร์สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊คล่าสุด ความว่า “ ภาษาละตินประโยคหนึ่งที่ถูกใช้เป็นหลักกฎหมายสำคัญทั้งในระบบแบบโรมัน และระบบของอังกฤษ (Common Law) จารึกเป็นภาษาลาตินว่า NULLUM CRIMEN SINE LEGE แปลตรงๆจะหมายถึง ไม่มีการกระทำที่เป็นความผิด หากไม่มีกฎหมาย”
ส่วนแนวคิดสุดท้ายก็เรียกแบบเข้าใจง่ายคือ เป็นคุณกับพล.อ.ประยุทธ์ เพราะคิดตีความตามตัวบทกฎหมายให้ครบทุกตัวอักษร เงื่อนไขต้องครบองค์ประกอบต้องเข้าทุกข้อตาม รัฐธรรมนูญ ม.158 จึงจะนำมาคิด แถมนับวาระการเป็นนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งเริ่มเมื่อ 9 มิ.ย.2562 ที่ผ่านมาไม่กี่ปีนี้เท่านั้น คนที่ปักธงให้ตีความแบบนี้ ตั้งแต่แรกๆก็ คือ ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา ที่นั่งยันยืนยันนอนยันเลย เขียนลง FB เมื่อ 3ส.ค.เลยว่า “การเป็นนายกรัฐมนตรี ตาม ม.158 วรรคสอง โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 คิดถึงปัจจุบันเป็นเวลาเพียง 3 ปี 1 เดือน 6 วันเท่านั้น การเป็นนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ก่อนวันที่ 9 มิ.ย. 2562 มิได้เป็นนายกรัฐมนตรีตาม ม.158 วรรคสอง จึงนำเวลามารวมกันตามม.158 วรรคสี่ ไม่ได้การอ่านและตีความกฎหมายในกรณีที่มีหลายวรรคนั้น ต้องพิจารณาประกอบกันทุกวรรค มิใช่นำมาพิจารณาใช้เพียงวรรคเดียวโดยมิได้นำวรรคอื่นมาพิจารณาประกอบด้วย” อาจารย์ชูชาติสอนกฎหมายให้คนไทยฟัง เช่นเดียวกับบิ๊กทหารอย่าง พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ก็ระบุในทำนองนี้เหมือนกัน นายกฯครบวาระปี 2570 ยาวไปๆ “ ตอนลุงตู่เป็นนายกฯครั้งแรก ( 24 ส.ค.2557) หลังการรัฐประหารนั้น ลุงตู่ไม่ได้เป็นนายกฯ ตาม ม.159 อย่างแน่นอน เพราะเป็นนายกฯ โดยไม่ได้รับการแต่งตั้งจากบุคคลที่มีรายชื่อตามที่พรรคการเมืองเสนอมา ดังนั้นถ้าดูตามตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญ ม. 158 และ ม. 159 แล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า ลุงตู่เพิ่งจะเป็นนายกตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ ได้ประมาณ 3 ปีกับ 3 เดือนเท่านั้น” อดีตบิ๊กศรภ.ฟันธง
อย่างไรก็ตามข่าวล่ามาแรง ล่าสุดสำนวณคำร้องที่ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา และมีความเห็นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ล่าสุดที่ประชุมเมื่อ 17 ส.ค.มีมติตีตก เนื่องจากเห็นว่าคำร้องดังกล่าวไม่ใช่การขอให้พิจารณาว่ากฎหมายใดขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องของคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญ ม. 170 วรรคสาม ซึ่งต้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ ส.ส.จำนวน 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงจะวินิจฉัยได้ เพราะฉะนั้นคำร้องของพี่ศรีเรื่องนี้จึงตกไป จะเหลือก็แต่คำร้องของส.ส.ฝ่ายค้านที่หมอชลน่านยื่นเพียงฉบับเดียว ดูทรงแล้วบิ๊กตู่ก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกหน้าไหนก็พร้อมโคมหัวยอมรับ จะให้หยุด จะให้ไปต่อ 2 ปี หรือไปต่อ 4 ปี ก็ได้หมด แต่คนดีอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ภาษิตโบราณว่าไว้ “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ชีวิตนี้ผ่านอุปสรรคขวากหนามมาเยอะ ด่านสุดท้ายเรื่องนี้ฟ้ามีตา สวรรค์มีใจ ประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราชอภิบาลคนดี คนชั่วคนพาลคนเลวยังไงก็พ่ายแพ้ สุดท้ายปลายทางก็ยังเชื่อว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นแก่ประโยชน์ชาติ ให้เวลาพล.อ.ประยุทธ์ได้ไปต่อ แค่ลุ้นว่าจะ 2 ปี หรือ 4 ปี เท่านั้นเอง
////////////////