วานนี้ช่วงบ่ายปรากฎภาพข่าวเป็นที่ฮือฮาทางการเมือง หลังอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกฯฝ่ายการเมือง และโฆษกรัฐบาลเผยแพร่ภาพ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าพบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ณ ห้องทำงานศาลาว่าการ กระทรวงกลาโหม
ข่าวว่าไปกันตั้งแต่เช้าคุยกันยาวลากถึงเที่ยงก่อนบิ๊กตู่จะชวนทั้ง 2 คนรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน เปิดทีวีช่องท็อปนิวส์ ดูข่าวสารสำคัญ สาระบ้านเมือง เรื่องร้อยแปดเคียงคู่ไปด้วย งานนี้เจ้าภาพสั่งเมนูกะเพราไก่ไข่ดาวเลี้ยงแขกคนสำคัญที่มาเยือน เสร็จธุระแตกฝ่ายต่างแยกย้าย ก่อนเสี่ยหนูจะออกมาเปิดเผยเหตุผลที่ดอดเข้าพบบิ๊กตู่ในครั้งนี้ว่า “ พาหมอเข้าไปตรวจอาการต่อเนื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ เคยมีสะเก็ดที่บริเวณหลังฝ่ามือ ซึ่งเกิดจากการแพ้ที่คาดว่าจะมีการเกา โดยมีอาการตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้จึงพาแพทย์ด้านผิวหนังจากสถาบันโรคผิวหนังเข้าไปตรวจอาการ ท่านไม่มีฝากเรื่องอื่น เรื่องการเมือง หรือเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ ท่านบอกให้ช่วยกันประคับประคองดูแลรัฐบาล ช่วยพล.อ.ประวิตร ทำงานในช่วงนี้” อนุทินแจกแจง ก็ว่ากันไป
แต่ในทางการเมืองไม่มีใครเชื่อหรอกว่าทุกอย่างเป็นเรื่อง “บังเอิญ” ที่จู่ๆ คีย์แมนระดับแกนนำรัฐบาล อย่าง “อนุทิน-อนุพงษ์” จะไปปรากฎตัวนั่งคุยกับนายกฯพร้อมๆกัน แล้วมาอ้างข้างๆคูๆ เรื่องพาหมอไปตรวจมือนายกฯ มิหนำซ้ำการคุยดังกล่าว ยังเป็นการสนทนาแบบเอ็กคลูซีฟ บนห้องทำงานของ “สนามไชย 1” ภายในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ คงไม่นัดกันมาเจอแบบนั้น แถมยังมีการปล่อยภาพออกมาให้สื่อนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ตีความได้เลยว่าพล.อ.ประยุทธ์ต้องการสื่อสารอะไร “บางอย่าง” กับสังคม ถอดรหัสภาพลับภาพหลุด (อย่างตั้งใจ) รอบนี้ ไม่แน่ใจว่าบิ๊กตู่ต้องการคิดอ่านทำการอะไร อยากสื่ออะไรจึงปล่อยภาพนี้ออกมา เพราะเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานทางการเมือง ตัวเองก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญเบรกการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ปมการดำรงตำแหน่งนายกฯไม่เกิน 8 ปี ที่ตอนนี้ก็ยังลูกผีลูกคนไม่รู้ว่าที่สุดแล้ว 9 อรหันต์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีที่ 171 ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นคำร้องไปออกมายังไง เพราะดูแล้วออกได้หมดทั้ง 3 หน้า 1. ดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีแล้ว 2. ยังไม่ครบ 8 ปีเหลือเวลาอีก 2 ปี ครบวาระ ปี 68 หรือ 3. ยังไม่ครบ 8 ปีเหลือเวลาอีก 4 ปี ครบวาระปี 70
วิเคราะห์ตีความการมาพบกันของ 2 อ. กับ 1 ป. ชั่วโมงนี้ที่ คงไม่หนีการมาปรับทุกข์ผูกมิตร อย่าลืมว่าทั้งเสี่ยหนูกับบิ๊กป๊อกคือรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดแนบแน่นพล.อ.ประยุทธ์มากที่สุด หนึ่งคือพี่กลางบูรพาพยัคฆ์ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอด อีกหนึ่งคือน้องรักทางการเมือง มาเจอกันเที่ยวนี้ไม่แคล้วคุยกันเรื่องอนาคตในภายหน้าของบิ๊กตู่และบ้านเมืองโดยเฉพาะหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกมาไม่ว่าทางหนึ่งทางใด ถ้าตัดสินเป็นบวกพล.อ.ประยุทธ์ได้ไปต่ออันนั้นก็ง่าย เพราะเตรียมพร้อมวางทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปคหรือเดินหน้าเลือกตั้งทั่วไป แต่ถ้าออกมาตรงข้ามบิ๊กตู่ไม่ได้ไปต่อจบเห่แค่ 8ปี 23 ส.ค.2565 จะเอากันยังไงจะพาเรือแป๊ะไปทางไหนดี อันนี้แหละหัวใจสำคัญ บวกลบคูรหารสนทนารอบนี้เชื่อมั่นว่าคงถกกันเรื่องนี้แหละ แต่ไม่รู้ว่าบิ๊กตู่ “สั่งสู้” หรือ “สั่งลา”
ทางแรกหากศาลรัฐธรรมนูญให้ไปต่อแน่นอนว่ารัฐบาลเรือแป๊ะภายใต้การนำของบิ๊กตู่ก็จะติดปีกเหมือน “พยัคฆ์โบยบิน” ไม่ต้องห่วงไม่ต้องสนอะไรอีกต่อไป จากนี้ใส่เกียร์เดินหน้าเตรียมเป็นเจ้าภาพเอเปคต้อนรับผู้นำโลกหลังจากนั้นค่อยคิดวัน ว เวลา น. ในการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ทางที่สองหากบิ๊กตู่ไม่ได้ไปต่อก็คงคุยกันเรื่องนายกฯคนต่อไปใครจะคุม ถ้าเอาบารมีผสมการเมืองชั่วโมงนี้ก็ต้องเทคะแนนให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ที่ตอนนี้ก็นั่งเป็นรองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯ เต็มตัวอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้อยู่ในสำรับ “แคนดิเดตนายกฯ” ตามบัญชีพรรคการเมือง ตาม รัฐธรรมนูญ ม. 88 แต่พล.อ.ประวิตรสามารถขึ้นเป็นผู้นำประเทศได้ ด้วยการใช้ออปชั่น “นายกฯคนนอก” ตามรัฐธรรมนูญ ม.272 วรรค 2 ที่ระบุขั้นตอนการดำเนินการเรื่องนี้ไว้ 2 ขยักคือ ขยักแรก “ สมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน จํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมือง แจ้งไว้ตามมาตรา 88 ”
จากนั้นในขยัก 2 “ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ ทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดําเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมือง แจ้งไว้ตาม มาตรา 88 หรือไม่ก็ได้” ทางนี้ฟังดูอาจอยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ รอบแรกใช้เสียงส.ส.หรือส.ว.เกิน 350 คน ยกเว้นการเสนอชื่อนายกฯตามบัญชีพรรคการเมือง รอบสองต้องใช้เสียงส.ส.กับส.ว.รวมกันมากกว่า 466 คน ผ่าทางตันเสนอชื่อพล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ ถามว่ายากไหมตอบเลยยาก ถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้ไหมมีโอกาสแน่นอนโดยเฉพาะหากพล.อ.ประยุทธ์ตกสวรรค์ พล.อ.ประวิตรพร้อมชิงจังหวะขึ้นเป็นนายกฯแน่ เพราะไม่ได้เป็นการหักหลังน้องขึ้นเป็นสร.1 แต่อย่างใด แต่เป็นไฟล์บังคับที่ต้องประคับประคองบ้านเมืองให้ไปรอดจัดประชุมเอเปคได้สำเร็จ หรือทางที่สามดันเสี่ยหนู อนุทินที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 อยู่แล้วขึ้นเป็นนายกฯแทน แต่เสี่ยหนูก็ต้องไปลุ้นว่าเสียงในมือจากส.ส.และส.ว. จะเลยเงื่อนไข รัฐธรรมนูญ มาตรา 159 หรือไม่ “มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทํา โดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของสภาผู้แทนราษฎร” เสี่ยหนูจะเป็นนายกฯได้ต้องมีส.ส.สนับสนุนเกิน 251 คน
ทั้งหลายทั้งมวลน่าจะเป็น 3 แนวทางใหญ่ๆ ที่ 3 คีย์แมนรัฐบาลคุยกันเมื่อวานนี้ ส่วนจะออกหน้าไหนก็ต้องลุ้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดี 8 ปีนายกฯก่อนว่าจะออกมายังไง ล่าสุดวันนี้ 1ก.ย.2565 บิ๊กตู่ ลงนามคำร้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว ความยาว 20 หน้า โดยใช้มือกฎหมาย 3 คน คนแรกคือ “เนติบริกรเสื้อคลุมลายพราง ” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย คนที่สองคือฝ่ายเสธ.ใกล้ชิดพล.ต.วิระ โรจนวาศ ที่ปรึกษานายกฯ และ อดีตผู้อำนวยการ สำนักพระธรรมนูญทหารบก หนึ่งในทีมเขียนคำสั่ง คสช. และเป็นอดีต 21 อรหันต์คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ส่วนคนที่สามก็คือ ดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จากนี้ก็ต้องลุ้นว่าศาลจะนัดอ่านคำวินิจฉัยวันไหน พล.อ.ประยุทธ์จะ รอดหรือร่วง รอดก็สบาย ร่วงก็ค่อยมาคุยกันว่าจะชูใครให้เป็น “ทายาท” ระหว่าง “บิ๊กป้อมป่ารอยต่อ” หรือ “เสี่ยหนูพลังใบ” อีกไม่นานได้รู้กัน
///////////////////////