หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมติดหล่มถูกศาลรัฐธรรมนูญเบรกพักการทำหน้าที่ สร.1 จากคำร้องตีความการทำหน้าที่ไม่เกิน 8 ปีในตำแหน่งนายกฯ จนถึงตอนนี้ก็ยังลุ้นว่าที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยออกมาเป็น “ลูกผี” หรือ “ลูกคน” อย่างไรก็ตามปี่กลองการเมืองเริ่มโหมโรงกันแล้ว เพราะไม่ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่หรือไป แต่การเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ เพราะ 23 มี.ค.2566 ก็จะครบวาระการทำหน้าที่ 4 ปีของสภาผู้แทนราษฎรยังไงก็มีการเลือกตั้งแน่นอน ไม่ว่าบิ๊กตู่จะอยู่ต่อจนครบวาระหรือจะประกาศยุบสภาจัดการเลือกตั้งก่อน แต่นับถอยหลังไม่เกิน 7 เดือนหลังจากนี้การเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นอย่างแน่นอน เป็นธรรมดาที่ทุกพรรคการเมืองจะต้องขยับแต่งองค์ทรงเครื่องเตรียมความพร้อมของพรรคตัวเอง ล่าสุดวานนี้ 8 ก.ย.2565 พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ของ 2 กุมาร อุตตม สาวนายน กับ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จัดการเปิดตัว “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจยุคประยุทธ์เทอม 1 ขึ้นเป็นประธานพรรค โดยจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรค 7- 8 ก.ย.65 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ งานนี้มีว่าที่ผู้สมัครของพรรคและสมาชิกพรรคร่วมงานคับคั่ง แต่ไฮไลต์ของการเปิดตัวเที่ยวนี้ สมคิดหนีบลูกชายคนเล็ก “ลูกคลัง” ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ มาดูการเปิดตัวของพ่อด้วย อารมณ์คงอยากให้ลูกซึมซับบรรยากาศทางการเมืองเผื่ออนาคตอาจวางตัวเป็นทายาทการเมืองในอนาคตได้หากเจ้าตัวชอบ
“ วันนี้มาพร้อมลูกชายน้องคลัง ลูกชายคนเล็กอายุ 20 ปี เรียนคณะวิศวะ พาเขามาเพื่อให้เป็นประจักษ์พยานได้เห็นได้รู้ว่าการสร้างพรรคการเมืองที่ดี มีจริง ต้องการให้เขาเรียนรู้ว่า การทำพรรคการเมืองไม่ใช่ของง่าย ต้องการให้เขาเข้าใจว่า ทำไมพ่อของเขาต้องกลับมาช่วยเหลือน้องๆ ทุกอย่างเป็นภารกิจหน้าที่ ตำแหน่งนายกฯ ไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายคือ การเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย ยากจริงๆ ที่จะหาผู้นำสร้างความเปลี่ยนแปลงในการพัฒนา บางคนพลังไม่ถึง บางคนพลังถึงแต่ไม่คิดจะทำ วันนี้มาให้น้องคลัง ได้เห็นในสิ่งที่พ่อเขาพยายามไม่ว่าจะได้มากหรือน้อย เป็นชะตาบ้านเมือง” สมคิดระบุ จากนั้นก็เปิดฉากร่ายย่าวโชว์วิสัยทัศน์การเมือง ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรคสร้างอนาคตไทย “ สถานการณ์การเมืองตอนนี้เละเทะ เงินตรามีบทบาทสูงมาก การแข่งขันทางการเมืองเหมือนการแข่งม้า มีม้าแข่งที่ต้องซื้อ มีคอกที่ต้องมีเจ้าของหาเงินเลี้ยงม้า มันโจ่งครึ่มเกินไป เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับคำว่าประชาธิปไตยคนจะหันหลังให้การเมือง…..เงินตราที่ซื้อคอกม้าใหญ่ๆ ได้จะมีพลัง ถ้าคุณเล่นการเมือง สร้างพรรคการเมือง คิดแต่สร้างอำนาจ แต่ถ้าไม่มีโครงสร้างปัญญา สร้างคนมีความสามารถ มีแต่โครงสร้างอำนาจ สุดท้ายจะไปไม่รอด จะพาชาติบ้านเมืองไปไม่รอด ผมมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะตำแหน่งแคนดิเดตนายก แต่มาเพื่อให้พรรคนี้เป็นตัวสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย ในทางที่ถูกต้อง” สมคิดลากยาวการเมือง
งานนี้ไม่รู้พาดพิงถึงใคร สร้างพรรคใหญ่โตแต่ไม่มีโครงสร้างปัญญามีแต่โครงสร้างอำนาจสุดท้ายก็พาชาติไปไม่รอด แต่อุปมาอุปมัยเหมือนทุบไปที่กล่องดวงใจ 3 ป. เสมือนยิงตรงไปถึงพี่ใหญ่ป้อม เพราะตอนอยู่ในรัฐบาลก็เข้าทำนอง “ขบเหลี่ยม-แย่งซีน” กันมาตลอด ระหว่างรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจกับรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง แต่สุดท้ายเลือดข้นกว่าน้ำพล.อ.ประยุทธ์เลือกพี่ป้อม สมคิดถูกปรับพ้นครม.ยกพวงพ่วง 4 กุมารถูกถีบพ้นเรือแป๊ะเรียบวุธ แถมในพรรคพลังประชารัฐก็ถูกบิ๊กป้อมก่อรัฐประหารฮุบพรรคถูกบีบจนต้องหนีออกมา ทั้งๆที่ตัวเองกับกลุ่ม 4 กุมาร ที่ประกอบด้วย อุตตม สนธิรัตน์ รวมถึงสุวิทย์ เมษินทรีย์ และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นคนก่อร่างสร้างพรรคพลังประชารัฐเป็นฐานรองนั่งให้กับพล.อ.ประยุทธมาเองกับมือ แต่สุดท้ายก็ถูกถีบหัวส่ง แค้นฝังหุ่นระหว่างกันจึงยังไม่เคยลืม เปิดตัวรอบนี้สมคิดจึงแวะไปหาพล.อ.ประวิตรเสียหน่อย จะได้ไม่ลืมกัน ก่อนปิดท้ายย้อนคำพูดบิ๊กป้อมเรื่องใจบันดาลแรง “คนอย่างผมไม่มีใจบันดาลแรงนะ แต่ผมมีแรงบันดาลใจ ที่จะช่วยเหลือประเทศไทย สร้างอนาคตให้ประเทศไทย ไม่ใช่เพื่อตัวเอง สิ่งนี้มาจากความจริงใจของผม ยิ่งมาแข่งเยอะยิ่งดี ตั้งใจจะไม่ต่อล้อเถียงกับใคร ในระบอบนี้ต้องคิดต่าง แต่เคารพความเห็นซึ่งกันและกัน”
เสร็จจากนั้นสมคิดก็ย้อนเวลากลับไปช่วงทำงานกับเรือแป๊ะ เป็นรองนายกฯยุค “ ประยุทธ์เทอม 1” ทวนความจำตอนเข้ามากู้วิกฤติเศรษฐกิจใหม่ๆ “ ปี 57 ก่อนส่งทีมสี่กุมารเข้าไป ต้องดูคนทำงานเป็น ทำงานได้ ปีนั้น GDP เหลือ 1% มีรัฐประหาร ต่างชาติไม่รับรอง ทั้งทีมช่วยทำงาน จน GDP ขยับขึ้นมา 3-4 % ก่อนจะเจอพิษของโควิด และเจอพิษการเมือง ที่แสวงหาอำนาจ แต่ไม่แสวงหาปัญญา การผสมในอดีต มีจุดมุ่งหมายร่วมว่าทำเพื่อบ้านเมือง แต่การแบ่งกระทรวงไปคนละทิศละทาง มันไม่มีพลัง ไม่ทำตามที่บอกก็ Walk out พอโควิดมา ติดลบ 6.2% GDP เหลือ 5 แสนล้านต้นๆ ภาวะอย่างนั้น มันลึกจริงๆ ทุกอย่างชะลอตัว…..การเมืองวันนี้ เรามีนายกรัฐมนตรี แต่คนไหนตัวจริงยังไม่รู้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำไง ใครนำเรือลำนี้ หรือจะให้ข้าราชการนำ สิบกว่าปีให้หลัง ทำไม่ได้ ทำมากผิดมาก ไม่ทำเลยไม่ผิด เพราะงั้น คนดีนิ่งเสียตำลึงทอง ต้องอยู่ที่ผู้นำ ทุบโต๊ะเลย ไม่ช่วย ก็ยุบสภา เก็บไว้ทำทำ ฉะนั้น เมืองไทยจะไปไม่ไหว จะปล่อยแบบนี้ต่อไปไม่ได้” สมคิดระบุ งานนี้ไม่แคล้วแซะพล.อ.ประยุทธ์เต็มๆ อย่าลืมว่าตอนรัฐบาลประยุทธ์เทอม 1 สมคิดเป็นรองนายกฯเศรษฐกิจ มีรัฐมนตรีในสายห้องชั้นล่างตึกบัญชาการ 1 ถึง 6-7 คน แถมเป็นปีกเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น “คลัง พลังงาน อุตสาหกรรม พาณิชย์ คมนาคม ท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์ ” การขับเคลื่อนงานและนโยบายต่างๆ จึงไปตามสั่งของสมคิดได้ทั้งหมด
ต่อเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเป็นพล.อ.ประยุทธ์เทอม 2 พรรคพลังประชารัฐมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ พล.อ.ประวิตรเข้ามา กลุ่มสามมิตรเข้ามา ร.อ.ธรรมนัสเข้ามา มีพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามาทำงาน โควต้ารมต.ก๊วนสมคิดจึงถูกฉีกถูกดึงออกไปหมด ที่สุดเส้นทางระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับสมคิดเลย “ต่างคนต่างเดิน” จึงไม่แปลกที่สมคิดจะทวง “ผลงาน” พล.อ.ประยุทธ์คืน เพราะส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่านโยบายเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนได้เห็นเป็นรูปธรรมในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์สมัยแรกก็มาจากมันสมองของเฮียกวงและทีมงาน ทั้งเรื่องอีอีซี เรื่องเขตเศณษฐกิจพิเศษ เรื่องรถไฟความเร็วสูง ฯลฯ ยามนี้การเมืองถึงช่วงออกศึกต้องเปิดหน้าต่อสู้กัน เป็นธรรมดาที่ทุกพรรคการเมืองก็ต้องเคลมผลงานของตัวเอง ใครเคยคิดเคยทำอะไรผลงานงานเรื่องนี้ ใครทำจริง ใครชุบมือเปิบ ใครเป็นไอ้โม่งขโมยผลงานคนอื่น คนทำงาน คนในวงการเขารู้ดี นับหนึ่งเลือกตั้งดังขึ้นแล้ว จากนี้การเมืองคงร้อนแรงขึ้นตามลำดับ
กรณีสมคิดจัดหนักใส่พล.อ.ประวิตรฟาดงวงฟาดงาใส่บิ๊กตู่ก็เป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง เพราะเข้าโหมดเลือกตั้งแล้ว อดีตแม้เคยร่วมหอลงโลงนั่งเรือแป๊ะลำเดียวกันทำงานด้วยกัน แต่วันนี้การเมืองต้องสู้กันอยู่คนละพรรคกันอุดมการณ์ต่างกันความคิดไม่เหมือนกัน ก็ต้องสู้ก็ต้องห่ำหั่นกันเป็นธรรมดา พล.อ.ประยุทธ์ สมคิด พล.อ.ประวิตร อาจเคยลงเรือลำเดียวกันในอดีตแต่วันนี้ต่างคนต่างเดินต่างมีทางของตัวเอง การเมืองไม่มีมีมิตรแท้และศัตรูถาวร อนาคตต้องดูว่าทั้ง 3 คนใครจะมีโอกาสได้เป็นนายกฯในการเลือกตั้งคราวหน้า แต่เรื่องนี้ก็อย่างที่สมคิดพูด “การเป็นนายกฯฟ้าลิขิตครับ” มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครจะเข้าวิน
/////////////////