จากการสำรวจโดยสมาพันธ์และสถาบันแรงงานแห่งประเทศกรีซพบว่า มีชาวกรีซจำนวนมากขึ้น ที่กำลังลดการซื้ออาหารลง เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าพลังงาน โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ตอบว่า พวกเขาซื้ออาหารน้อยลงมาก เมื่ออาหารมีราคาแพง ส่วนอีก 51 เปอร์เซ็นต์ตอบว่า ซื้อน้อยลง ในขณะที่จำนวน 1 ใน 4 กล่าวว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย และมีเพียง 4เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ตอบว่า สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับพวกเขาเลย
โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการใช้จ่าย มาจากความจำเป็น ที่จะต้องจ่ายพลังงานมากขึ้น โดยเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามหรือราวร้อยละ 47 กล่าวว่า พวกเขาคาดว่า จะมีฤดูหนาวที่ยากลำบาก เนื่องจากราคาพลังงานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ 1 ใน 5 กล่าวว่า พวกเขาอาจไม่สามารถจ่ายค่าพลังงานได้ไหวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ผู้ทำการสำรวจได้เขียนในรายงานสรุปว่า เศรษฐกิจของกรีซที่มีปัญหาสะสมมาหลายปี กำลังเผชิญกับอุปสรรคใหม่จากราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และรายได้ที่ชะงักงัน กำลังคุกคามกำลังซื้อของภาคครัวเรือน นอกจากนี้ยังแนะนำว่าวิกฤตค่าครองชีพในประเทศสามารถแก้ไขได้ โดยผ่านการแทรกแซงของรัฐบาลเท่านั้น เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ลดภาษีพลังงานและอาหาร และการจัดเก็บภาษีกำไรส่วนเกินของบริษัทพลังงาน
โดยขณะนี้รัฐบาลกรีซได้ออกมาตรการ อุดหนุนค่าพลังงานสำหรับประชาชน มาตั้งแต่ปีที่แล้ว อีกทั้งเมื่อเดือนที่แล้วรัฐบาลได้ให้คำมั่นว่า จะอนุมัติวงเงินกว่า 2 พันล้านยูโร (ประมาณ 7 หมื่น 3 พันล้านบาท) เพื่ออุดหนุนค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในเดือนนี้ โดยสำหรับครัวเรือนที่ยากจนที่สุด จะได้รับเงินอุดหนุนค่าไฟเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่าเงินอุดหนุนอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของกรีซ ยังคงใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ที่ 11.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้น 261.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบเป็นรายปีและค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 38.5 เปอร์เซ็นต์ อ้างอิงตามข้อมูลจากหน่วยงานทางสถิติของประเทศกรีซ