นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อธิบายในหัวข้อ ”ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินของประชาชนหรือของส่วนพระองค์” ระบุว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ทรัพย์สินของประชาชนหรือของส่วนพระองค์?
เรื่องนี้อธิบายกันมาไม่รู้กี่ครั้ง นักวิชาการผู้รู้หลายๆ ท่านก็ออกมาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่นักเรียนนักศึกษา ที่ชอบอ้างว่าเป็นคนรุ่นใหม่ มีความรู้ มีเทคโนโลยีที่เข้าถึงความรู้ได้ง่าย กลับไม่สนใจศึกษา แต่กลับไปอ่านบทที่ผู้ใหญ่ใจอำมหิตหลอกให้พูดตาม สุดท้ายคนที่ติดคุกคือคนพูด ไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจอำมหิตที่ส่งบทพูดนั้นมาให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ คือพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรีที่แยกต่างหากจากทรัพย์สินของราชการ สมัยโบราณนับตั้งแต่ก่อตั้งราชอาณาจักรสยาม ทรัพย์สินทั้งแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ล่วงมาถึงสมัยในหลวงรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านเป็นผู้แยกทรัพย์สินส่วนพระองค์กับทรัพย์สินแผ่นดินออกจากกัน เพื่อความชัดเจนและเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ทันสมัย*** ย้ำ ในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็นผู้แยกทรัพย์สินส่วนพระองค์กับทรัพย์สินแผ่นดินออกจากกันต่อมาเมื่อคณะราษฏร์ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้จับทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ที่มีมาแต่เดิมแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ”ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” กับ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” แปลเป็นภาษาชาวบ้านให้อีกทีว่า คือการยึดทรัพย์ในหลวง แล้วแยกบัญชี ให้ในหลวงเอาไว้ใช้ส่วนตัวบัญชีหนึ่ง และยึดเข้าเป็นสมบัติของแผ่นดินอีกบัญชีหนึ่งโดยบัญชีที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ “ต้องเสียภาษี”ส่วนที่เรียกว่า”ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”ไม่ต้องเสียภาษี” ”ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” เป็นชื่อที่ตั้งให้ฟังดูสับสนว่าเป็นทรัพย์สินของในหลวง ทั้งที่ความจริงคือ คณะราษฎร์ได้ยึดทรัพย์ของในหลวงมาเป็นของแผ่นดินและที่ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเจ้าของ”สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”คือรัฐบาล ไม่ใช่พระมหากษัตริย์
คำว่ารัฐบาลเป็นเจ้าของ”สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”ตัวจริง หมายความว่า ผลประโยชน์ใดๆ ที่เกิดจากสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นผลประโยชน์ของชาติและประชาชน จึงไม่จำเป็นต้องเก็บภาษี
แต่อย่าลืมว่า ผลประโยชน์นั้น ความจริงควรจะเป็นของสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น เพราะเป็นทรัพย์สมบัติของสถาบันฯ แต่ถูกคณะราษฏร์ยึดไปอย่างหน้าตาเฉย
ผมจะขอยกตัวอย่างหนึ่งที่จะทำให้เป็นการอธิบายให้เห็นได้ชัดเจนคือ ที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย เดิมคือพระตำหนัก หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “บ้าน” นั้นเป็นบ้านของ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ แต่ถูกคณะราษฏร์ยึดไปเป็นของรัฐบาลซึ่งถือได้ว่า คณะราษฏร์ยึดทรัพย์สมาชิกพระราชวงศ์จักรีไปเป็นของรัฐบาลเฉกเช่นเดียวกับที่ยึดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เอาไปตั้งเป็น “สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” โดยตั้งชื่อนี้ให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า เป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ที่ไม่ยอมเสียภาษี ทั้งๆ สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ของพระมหากษัตริย์ แต่ถูดยึดคณะราษฎร์ไป และรัฐบาลไม่เก็บภาษีจากสำนักทรัพย์สินของรัฐบาลเอง
**สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คือ ทรัพย์สินของรัฐบาลแต่กลับตั้งมีชื่อว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อสับขาหลอกประชาชนแล้วก็เอามาบิดเบือนปลุกปั่นชาวบ้านว่า ในหลวงไม่เสียภาษี ทั้งๆ ทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นเสียภาษีในอัตราเดียวกับประชาชนส่วนที่ไม่มีการเสียภาทรัพย์สิน คือส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นของรัฐบาล ไม่ใช่ของพระมหากษัตริย์**คำว่า “เป็นของรัฐบาล” คือความหมายเดียวกับการ”เป็นของประชาชน”นั้นเอง เพราะประชาชนคือเจ้าของรัฐบาล
ต่อมาหลังจากในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต และหมุดคณะราษฎร์ถูกถอนออกไป เหมือนราวกับว่าอาถรรพ์ที่คณะราษฏร์ตอกลงไปกับหมุดถูกถอนไปด้วยในที่สุดมีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๗๑/๒๕๖๑ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการยกเลิกกฎหมายฉบับเดิม โดยสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคือให้มีการเปลี่ยนชื่อสำนักงานจาก สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และถวายคืนทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แด่ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน
ที่นี่เข้าใจแล้วนะว่า คำครหาที่ถูกปลุกปั่นว่า ในหลวงไม่เสียภาษี หรือแม้แต่ในหลวงใช้เงินภาษีของประชาชน เป็นการบิดเบือนหลอกลวงเพื่อปลุกปั่นให้เป็นความวุ่นวายในสังคม เพื่อจุดประสงค์จะล้มเจ้า ต้องล้มเจ้าเพราะเข้าใจว่าล้มเจ้าได้เมื่อไหร่ ก็ล้มคู่ต่อสู้ทางการเมืองของตนได้ ทั้งๆ ที่เจ้าอยู่เหนือการเมือง ที่แปลว่า พระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นผู้เล่นการเมือง มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่เล่นการเมือง หยุดดึงพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นการเมือง ถ้าอยากดึงพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นการเมืองจริง ก็ถวายคืนพระราชอำนาจไปเสียเลย
อัษฎางค์ ยมนาค