วันที่ 2 ต.ค. ที่โรงแรมอวานี พลัส เกาะลันตา จ.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์จัดสัมมนารัฐมนตรีและส.ส.พรรคฯ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดงานว่า เมื่อปิดสมัยการประชุมสภาฯ ทุกครั้ง เราจะมีการสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและกำหนดทิศทางการทำงานต่อไป แต่ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งที่เราจะต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพราะสภาฯเข้าสู่ปีสุดท้ายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องถือว่าคำวินิจฉัยนี้เป็นปัจจัยหนึ่งในการฉายภาพการเมืองไทย แม้จะเป็นการวินิจฉัยเฉพาะตัวนายกฯก็ตาม แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องฉายภาพบางเรื่องโดยเฉพาะวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯรวมกันไม่เกิน8ปี ให้นับหนึ่งตั้งแต่รัฐธรรมนูญนี้มีผลบังคับใช้วันที่ 6 เม.ย. 60 ดังนั้นหากนับนิ้วดูมาวันนี้ก็5ปี 5 เดือน ถ้าต้องไปครบวาระสภาฯ ก็เดือนมี.ค. 66 ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ได้อีกประมาณ 2 ปีรัฐบาลจึงจะยังเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ภารกิจสำคัญของรัฐบาลในช่วงครึ่งปีสุดท้ายนี้ มี 2 เรื่อง คือ 1.การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค และ 2.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญ โดยต้องยอมรับว่าขณะนี้ตัวขับเคลื่อนจีดีพีของไทยที่สำคัญคือการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สามารถทำงานร่วมกับภาคเอกชนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในปี 2564 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดการส่งออกได้ถึง 8.5 ล้านล้านบาท ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 9 ล้านล้านบาท มั่นใจว่าจะสามารถทำได้ ขณะที่เครื่องจักรการท่องเที่ยวยังไม่สามารถเดินหน้าได้เต็มสูบ เป็นแค่ตัวเสริม ซึ่งต้องรอจนกว่าสถานการณ์โลกจะคลี่คลายให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้ตามปกติ การท่องเที่ยวจึงจะมาตีคู่กับการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ซึ่งนโยบายประกันรายได้ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสิ่งที่ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจฐานรากโดยตรง ในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา สามารถเดินหน้าไปได้แม้เราต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิดและสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกก็ตาม แต่3 ปีเศษในการร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์สร้างผลงานเกินตัว เกิน52 เสียงที่มีอยู่