จากวันนี้บวกลบคูณหารคงเหลือเวลาไม่ถึง 6 เดือนก็จะครบกำหนดวาระการทำหน้าที่ 4 ปี ของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ในวันที่ 23 มี.ค.2566 ถ้าอยู่ครบเทอม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯก็จะกลายเป็นนายกฯประวัติศาสตร์ที่อยู่ครบเทอม 2 ปีอีกคน แต่ก็จะกลายเป็นเดดล็อคไม่เกิดผลดีต่อการย้ายพรรคเปลี่ยนค่ายของบรรดาส.ส.ที่จะไม่ทัน เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องสังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งที่ตนเป็นผู้สมัครต่อเนื่องกัน 90 วัน ถ้าบิ๊กตู่อยู่ครบวาระ ส.ส.จะย้ายพรรคไม่ได้ แต่ถ้าบิ๊กตู่ชิงยุบสภาตรงนี้ก็จะปลดล็อค 90 วันที่ต้องสังกัดพรรคลดลงมาเหลือแค่ 30 วันเท่านั้น บรรดาส.ส.สามารถหาที่ลงได้ทัน เพราะวันเลือกตั้งหากมีการประกาศยุบสภาจะต้องจัดภายในไม่น้อยกว่า 45 วัน ไม่เกิน 60 วัน ส.ส.คนไหนอยากย้ายพรรคอยากเปลี่ยนสีเสื้อใหม่ก็ยังทันอยู่
ไม่แปลกที่จะมีความคึกคักมากเป็นพิเศษจากบรรดาส.ส.และบรรดาพรรคการเมือง ที่เสมือน “นกรู้” ต้องเตรียมตัวก่อนการเลือกตั้งใหญ่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แถมรอบนี้กติกาเปลี่ยนใหม่ไม่เหมือนการเลือกตั้งรอบที่แล้วเมื่อ 24 มี.ค.2562 ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ส.ส.เขต 350 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน แต่มารอบกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน เหมือนการเลือกตั้งปี 40 และ 50 ที่สำคัญการคิดคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้ใช้การคำนวณแบบเก่า คือจัดสรรปันส่วนผสม มีเพดานส.ส.พึงมี ทุกคะแนนไม่ตกน้ำ แต่ใช้วิธีจับคะแนนรวมทั้งประเทศมาหารเพียวๆ ด้วย 100 ได้เท่าไหร่ก็เอาไปหารกับจำนวนคะแนนส.ส.ของแต่ละพรรค เบื้องต้นมีการคิดคร่าวๆว่าส.ส.บัญชีรายชื่อ อย่างต่ำๆแต่ละพรรคต้องได้คะแนนราว 370,000 -400,000 คะแนน เพราะเหตุนี้จึงทำให้พรรคขนาดกลางขนาดเล็กหลายพรรคหวั่นไหว เพราะโอกาสจะได้ส้มหล่นได้คะแนนหลักหมื่นแต่ได้เป็นส.ส.ได้เข้าสภาเหมือนเลือกตั้งคราวก่อนแทบไม่มีทางเป็นไปได้ ขณะที่จะไปลุ้น “ส.ส.ปัดเศษ” แบบเดิมๆก็คงไม่มีโอกาสส้มหล่นได้เป็นผู้แทนแบบนั้นอีกแล้ว ด้วยเหตุจึงทำให้หลายพรรคขยับปรับตัวทางการเมือง หนีตายการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพราะถ้าอยู่เป็นพรรคเล็กต่อไปมีหวังแห้งตายคาพรรค
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปรากฎการณ์รวมพรรค ของพรรคขนาดเล็กพรรคโอกาสน้อยพรรคทุนไม่มากเกิดขึ้นกรณีพรรคกล้าของ กรณ์ จาติกวณิช ที่ประกาศลาออกและไปปรากฎตัวเคียงข้าง สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เจ้าของพรรคชาติพัฒนาก็ชัดเจนว่า พรรคกล้าไปต่อไม่ไหวสายป่านก็ไม่ยาว สุดท้ายกรณ์ก็ต้องกัดฟันกลืนเลือดทิ้งพรรคตัวเองตั้งไปอยู่กับพรรคชาติพัฒนา แถมหนีบกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของพรรค อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค ไปร่วมกัวจมท้ายกันที่พรรคใหม่ภายใต้ชื่อ “พรรคชาติพัฒนากล้า” อย่างที่รู้ว่ากรณ์มีไอเดีย แต่ไม่มีทุนไม่มีแรงไม่มีหัวคะแนนจัดตั้ง ทำพรรคต่อไปก็สาละวันเตี้ยลง ขณะที่ฝากฝั่งสุวัจน์ก็ไร้คนรุ่นใหม่มาขับเคลื่อน เมื่อพรรคกล้ากับพรรคชาติพัฒนารวมกันน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า สุวัจน์ได้ไอเดียจากกรณ์ได้มีโอกาสส่งคนลงพื้นที่กทม.ได้มีโอกาสลุ้นพื้นที่ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองเรียกว่าสมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนจะได้ไม่ได้ส.ส.ก็ค่อยไปว่ากัน แต่พอรวมกันแบบนี้ 5-10 ส.ส.ก็พอมีลุ้นสำหรับพรรคชาติพัฒนา
อีกคู่นึงที่มีข่าวกำลังมีลุ้นเทียวไล้เทียวขื่อกันอยู่ก็คือพรรครวมไทยสร้างชาติของ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคย์ กับ พรรครวมพลังของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ความจริงแกนนำทั้งสองพรรคก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ขิง” เอกณัฏ พร้อมพันธุ์ “เสี่ยน้อย” วิทยา แก้วภราดรัย กับ “กำนันสุเทพ” สุเทพ เทือกสุวรรณ ผู้ก่อตั้งพรรค เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่พรรครวมพลังอาจจะมารวมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะยังไงเสีย 2 พรรคนี้ก็มีความคิดในการการหนุนบิ๊กตู่เป็นนายกฯต่ออีกสมัยอยู่แล้ว แถมนโยบาย แนวคิด การทำงานของพรรคก็ไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงง่ายที่จะไปอยู่รวมกัน แม้ตอนนี้บรรดาแกนนำทั้ง 2 พรรคออกมาปฏิเสธข่าวกันพัลวัน ว่ายังไม่มีความคิดจะไปยุบพรรค เป็นแค่ข่าวโคมลอยข่าวไม่จริง หนำซ้ำกำนันสุเทพอยากคงพรรครวมพลังไว้ไม่อยากเอาไปรวมกันพรรครวมไทยสร้างชาติเพราะอุตส่าห์สร้างมากับมือ แต่ดูทรงแล้วยากจริงๆหากจะไปต่อในการเลือกตั้งเที่ยวหน้า เพราะถ้าพรรคไม่ใหญ่จริง ไม่มีส.ส.เขต คงไปต่อลำบาก
หนำซ้ำอนาคตถ้า “ลูกช้าง” สุพล จุลใส เขต 3 ชุมพร ออกตามน้องชายอย่าง “ลูกหมี” ชุมพล จุลใส ไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ โอกาสของพรรครวมพลังก็คงน้อยลงไปอีก ดูอนาคตยังไงก็คงต้องไปรวมกันแน่ๆ หากยังอยากอยู่ในสนามการเมืองต่อไป เพราะฝ่ายพรรครวมพลังก็ไม่มีส.ส.เขต ฝ่ายพรรครวมไทยสร้างชาติก็เป็นพรรคมาใหม่ ที่ประกาศปักธงภาคใต้เป็นที่มั่นสำคัญ เพราะฉะนั้นถ้าเสี่ยตุ๋ยได้พรรคลุงกำนันไปเข้าพวกกัน เชื่อว่าจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติแข็งแกร่งขึ้น และเป็นพรรคที่มิอาจมองข้ามได้ เพราะฉะนั้นงานนี้ก็ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าพอใกล้ๆเลือกตั้งมาถึง ลุงกำนันกับอาจารย์เอนกจะพาพรรครวมพลังไปรวมกับพรรคของคุณพีหรือไม่
อีกพรรคที่ต้องพูดถึงคือพรรคพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอบหน้ามีความเป็นไปได้สูงที่บรรดาพรรคเล็กๆปลาซิวปลาสร้อยที่พล.อ.ประวิตรเคยแจกกล้วยเลี้ยงดูกันมาแต่เก่าก่อน อาจจะย้ายมาอยู่ด้วย เพราะไปต่อด้วยลำแข้งตัวเองคงลำบาก รวมถึงพรรคเศรษฐกิจไทยของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็คงอยู่ยากเช่นกันเพราะหลายพื้นที่ต้องแข่งกับพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ไหนจะพรรคเก่าอย่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคใหม่มาแรงอย่างพรรคไทยสร้างไทยอีก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปได้สูงที่ร.อ.ธรรมนัสอาจเททิ้งพรรคเศรษฐกิจไทยที่ทำคลอดมาเองกับมือ ก่อน ขนส.ส.กลับมาตายรังเก่ามาซบอกอุ่นๆของลุงป้อมอีกครั้ง อย่าลืมว่าฝ่ายลุงป้อมก็พร้อมอ้าแขนรับ 18 ส.ส.กบฎที่ถูกขับออกไปก่อนหน้านี้เหมือนกัน เพราะจริงๆในทางลับก็ดูแลกันมาตลอด แถมทุกคะแนนเสียงในการเลือกตั้งคราวหน้านั้นสำคัญหมด ตามดูกันต่อไปใกล้ๆเลือกตั้งคงเห็นพรรคเล็กขยับไปรวมไปผสมพันธุ์หนีตายสูตรหาร 100 กันมากขึ้น เพราะถ้าดื้ออยากไปต่อมีหวังตายก่อนเข้าคูหากากบาทอย่างแน่นอน
///////////////////////