รศ.นพ.แจ่มศักดิ์ ไชยคุนา นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวผ่านFacebook Live ในงานเสวนาเรื่อง Freshen Up Your Life “สูดลมหายใจให้เต็มปอด เพื่อผู้ป่วยโรคพังผืดในปอด” ว่าโรคพังผืดในปอด (lung fibrosis) เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรคปอดอินเตอร์สติเชียล (interstitial lung disease หรือ ILD) จัดเป็นโรคหายากที่มีความรุนแรงมาก อัตราการรอดชีวิตใกล้เคียงกับโรคมะเร็งปอด เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบ แผลเป็น หรือพังผืดที่เนื้อเยื่อปอด และหลอดลมฝอยในปอด ทำให้ปอดทำงานได้ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ส่งผลต่อการหายใจผิดปกติ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถลุกลามมากขึ้นได้ จนทำให้สมรรถภาพปอดลดลง และอาการของผู้ป่วยแย่ลงได้ตลอดเวลา
โรคพังผืดในปอดมี 3 ลักษณะเด่นที่พบคือ 1. ไอแห้งเรื้อรังมากกว่าสองเดือนขึ้นไป 2. เหนื่อยหอบมากขึ้น ทำให้ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง เช่น เดินได้ช้าลง ออกกำลังกายได้ลดลง 3. เมื่อแพทย์ฟังเสียงปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบผิดปกติที่ชายปอดทั้งสองข้างคล้ายเสียงลอกแถบตีนตุ๊กแก
นอกจากนี้ก็มีอาการอื่นๆ เช่น น้ำหนักตัวลดลงเรื่อยๆ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ปลายนิ้วมือหรือเท้ามีลักษณะโค้งกลมและกว้างขึ้น ส่วนสาเหตุของโรคนั้นเกิดจากโรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง การใช้ยาบางชนิด อาชีพและสิ่งแวดล้อม และมีบางส่วนที่ไม่ทราบสาเหตุด้วย
ทางด้าน รศ.นพ.ศุภฤกษ์ ดิษยบุตร ประธานคณะอนุกรรมการโรคปอดอินเตอร์สติเชียลและโรคปอดจากการทำงานและสิ่งแวดล้อม ย้ำว่าโรคนี้พบผู้ป่วยได้ไม่บ่อยนัก มักเกิดในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ในแถบประเทศตะวันตกมีอุบัติการณ์ประมาณ 20 คนต่อประชากร 1 แสนคนต่อปี
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย มีการรวบรวมข้อมูลจาก 20 โรงพยาบาลใหญ่ ในโครงการลงทะเบียนผู้ป่วยโรคปอดเป็นพังผืดชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic pulmonary fibrosis หรือ IPF) จำนวน 146 คน (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2565) แต่อย่างไรก็ตามยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ลงทะเบียน ดังนั้นจึงคาดว่า จะมียอดผู้ป่วยจริงมากกว่านี้แน่นอน
ในส่วนสาเหตุที่เกิดจากอาชีพและสิ่งแวดล้อมนั้น จะมีบางอาชีพที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาทิ คนที่ทำงานในสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งมีโอกาสจะได้รับฝุ่นจากปูนและแร่ใยหินสูงกว่าคนทั่วไป ส่วนสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่สุ่มเสี่ยง อาทิ อยู่ใกล้สัตว์ปีกจำนวนมากเป็นเวลานาน เช่น เลี้ยงนกจำนวนมาก หรือมีสภาพแวดล้อมที่ไปสัมผัสนกพิราบบ่อย รวมถึงการสัมผัสกับเชื้อรานานๆ เช่น ในห้องนอนที่มีเชื้อราสะสม เป็นต้น แต่การสัมผัสสัตว์หรือสารดังกล่าวอาจไม่ได้ทำให้เกิดโรคทุกคนเพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย