ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวกับ BBC ว่า เธอจะรับผิดชอบและขอโทษที่ดำเนินการเร็วและไกลเกินไป ด้วยนโยบายการปฏิรูปที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ แต่ให้คำมั่นว่าจะยังคงเป็นผู้นำต่อไป แม้ความผิดพลาดนี้จะทำให้เธอเสื่อมถอยลง อย่างไรก็ตามทรัสส์กล่าวว่า จะยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อประเทศ แม้จะมีการตั้งคำถามว่า ใครคือผู้ควบคุมนโยบายของรัฐบาลตัวจริงกันแน่
เนื่องจากนายเจเรมี ฮันท์ รัฐมนตรีคลังคนใหม่ของอังกฤษ ที่ทรัสส์เพิ่งแต่งตั้งเมื่อวันศุกร์ หลังจากไล่นายควาซี กวาเต็ง รัฐมนตรีคลังที่เป็นคู่หูออก เพื่อรักษาตำแหน่งรักษานายกรัฐมนตรีของตน นายฮันท์ได้ประกาศยกเลิกแผนนโยบายการลดภาษีที่จะทำให้อังกฤษต้องกู้มหาศาล ของนายกวาเต็งออกเกือบทั้งหมด เพื่อหยุดยั้งความโกลาหลในตลาดการเงิน ซึ่งการกระทำของนายฮันท์ นั้นสวนทางกับนโยบายที่ทรัสส์ได้หาเสียงไว้ ทำให้ทรัสส์อยู่ในสถานะที่ไม่ปลอดภัย โดยนายโรเจอร์ เกล ส.ส. พรรคอนุรักษ์นิยมกล่าวว่า นายฮันท์ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัยไปแล้ว
ทั้งนี้นายฮันท์ ได้กล่าวในรัฐสภา ซึ่งมีนางทรัสส์ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมนั่งอยู่ข้างหลังว่า พวกเขาทั้งสองได้ตกลงกันว่าจะยกเลิกมาตรการลดภาษีเกือบทั้งหมดที่รัฐบาลประกาศเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ซึ่งได้แก่ การยกเลิกการลดภาษีเงินได้ที่จะเก็บในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และระงับแผนควบคุมราคาพลังงาน โดยจะเปลี่ยนให้แผนดังกล่าวมีผลบังคับใช้ถึงเดือนเมษายนปีหน้า แทนที่จะมีผลบังคับไปจนถึงปี 2024 ตามนโยบายเดิม ซึ่งหลังจากเดือนเมษายน จะมีการทบทวนแพ็คเกจสนับสนุนด้านพลังงานอีกครั้ง ส่วนการลดภาษีเงินปันผลของผู้ถือหุ้นที่เสนอไว้ก่อนหน้าก็ถูกระงับเช่นกัน พร้อมระงับแผนสินค้าปลอดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวและการงดเว้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งฮันท์ประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางภาษีดังกล่าวจะทำให้รัฐมีงบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 3 พัน 2 ร้อยล้านปอนด์ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท) และเขายังเตือนถึงการลดการใช้จ่ายที่เข้มข้นขึ้น นอกจากนี้นางทรัสส์ยังได้ประกาศจัดตั้งสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญสี่คนจากนอกรัฐบาล
ซึ่งการประกาศของฮันท์ นั้นได้ทำให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งให้เงินปอนด์อังกฤษทะยานขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรเมื่อวานนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน และในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า นายฮันท์จะเปิดเผยรายละเอียดแผนการเงินระยะกลางควบคู่ไปกับการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจซึ่งยังเป็นที่ต้องจับตามองต่อไป